Onlinenewstime.com : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ออกประกาศเตือนประชาชน เพิ่มความระวังในการใช้บัตรประชาชน และก่อนเซ็นต์ชื่อโดยเฉพาะเอกสารต่างๆ สำหรับยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท หลังพบเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ ถูกนำชื่อไปแอบอ้างจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจโดยไม่รู้ตัวมาก่อน
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า “ในช่วงเวลาที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในประเด็นการถูกแอบอ้างชื่อ เพื่อนำมาใช้จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ และการถูกโยงเข้ามาเป็นกรรมการบริษัท ทั้งที่เจ้าของชื่อไม่ทราบมาก่อนนั้น
โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่า กรมฯ ได้พบพฤติกรรม ที่ไม่สุจริตของคน 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มบุคคลที่ต้องการจะจัดตั้งธุรกิจแต่ ‘นำชื่อของบุคคลอื่นมาแอบอ้าง’ เพื่อใช้ประกอบการยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เพื่อให้มีจำนวนผู้เริ่มก่อการครบทั้ง 3 คน ตามที่กฎหมายกำหนด 2) กลุ่ม ‘รับจ้างขายชื่อ’ โดยยินยอมให้นำชื่อของตนเองไปใช้จดทะเบียนธุรกิจ ซึ่งอาจได้รับค่าตอบแทน หรืออาจจะไม่ได้รับก็ได้
นอกจากนี้ ยังมีอีกกลุ่มคนที่ ‘ถูกแอบอ้างหรือปลอมลายมือชื่อ’ โดยที่ไม่ได้ยินยอม ให้นำชื่อของตนไปใช้ ในการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ กระทั่งมีการฟ้องร้องทางธุรกิจ จนทำให้ทราบว่าตนได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสียหายนั้น”
อธิบดี กล่าวต่อว่า “กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ตระหนัก และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความมีธรรมาภิบาล ในการดำเนินธุรกิจของนิติบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นการเริ่มต้นของธุรกิจ หากไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความโปร่งใส ก็ย่อมมีแนวโน้มที่นิติบุคคลรายนั้น จะประกอบธุรกิจที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ประกอบกับมีเจตนา ที่จะจัดตั้งธุรกิจขึ้นมาเพื่อหลอกลวงผู้อื่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศได้ กรมฯ จึงออกประกาศ เรื่อง แจ้งเตือนประชาชนให้ใช้ความระมัดระวัง ในการลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์ เพื่อใช้ในการยื่นคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท พ.ศ. 2563
ทั้งนี้ การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ โดยไม่มีเจตนาหรือจุดประสงค์ ที่จะดำเนินธุรกิจตามที่แจ้งไว้ ถือเป็นการแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียน และจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ โดยการกระทำดังกล่าว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งกรมฯ จะดำเนินคดีตามกฎหมาย กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวให้ถึงที่สุด”
“อย่างไรก็ดี กรมฯ ขอแจ้งเตือนไปยังประชาชน ให้ระวังการถูกนำบัตรประจำตัวประชาชน และข้อมูลในบัตรไปสวมรอยจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลโดยไม่รู้ตัว และหากจำเป็นต้องมอบอำนาจ ให้ผู้อื่นกระทำการใดแทน จะต้องระบุข้อความสำหรับธุรกรรมดังกล่าว ลงบนสำเนาบัตรประชาชนด้วยทุกครั้ง
อีกทั้งต้องระมัดระวัง และตรวจสอบข้อความ ก่อนลงลายมือชื่อในเอกสารหรือแบบพิมพ์ต่างๆ เพื่อป้องกันการถูกหลอก นำชื่อไปใช้จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ หรือดำเนินการแก้ไขใดๆ ในบริษัท โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงอำนาจของกรรมการ
สุดท้ายนี้ กรมฯ ได้กำชับให้นายทะเบียน ที่มีหน้าที่พิจารณาการจดทะเบียนนิติบุคคลให้ตรวจสอบเอกสารการยื่นขอจดทะเบียน ด้วยความรอบคอบ และเป็นไปตามที่ระเบียบฯ กำหนด”