Onlinenewstime.com : คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเห็นชอบแนวทางจัดหาวัคซีนโควิด 19 ในปี 2565 รองรับนโยบายเพิ่มวัคซีนเป็น 150 ล้านโดส เร่งเจรจาผู้ผลิตที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 ครอบคลุมไวรัสกลายพันธุ์ หาความร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการวิจัยในประเทศ พร้อมเดินหน้าฉีดวัคซีนปูพรมทั้งรูปแบบนัดและเดินเข้ามารับวัคซีนทั่วประเทศ
(12 พฤษภาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมทั้งในที่ประชุมและรูปแบบออนไลน์
นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้รับทราบนโยบายของรัฐบาลที่มีพลเอก ประยุทธ์จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ในการจัดหาและให้บริการวัคซีนโควิด 19 ให้เพียงพอกับคนไทยทุกคนและผู้อาศัยอยู่ในประเทศไทยใน 3 แนวทาง คือ
1.การเพิ่มจำนวนวัคซีนจากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 100 ล้านโดส เป็น 150 ล้านโดส
2.การเร่งทำงานเชิงรุกเพื่อเจรจากับผู้ผลิตหลายรายมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นและเร็วขึ้น
3.การปรับแนวทางการฉีดวัคซีน โดยเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชาชนจำนวนมากที่สุด ช่วยลดโอกาสรับเชื้อ ลดความรุนแรงและการเสียชีวิต ดังนั้น จึงต้องลดอุปสรรคการเข้าถึงวัคซีน จึงให้มีการเข้าถึงทั้งรูปแบบการนัดผ่านหมอพร้อม ผ่านองค์กรต่างๆ ที่นำบุคลากรมาฉีดเป็นกลุ่ม และการเดินเข้ามารับวัคซีน ดำเนินการทั่วประเทศ โดยจังหวัดไหนพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันที
“แต่ละจังหวัดจะต้องฉีดให้ได้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากร โดยการกระจายวัคซีนจะเน้นพื้นที่ระบาดก่อนเพื่อควบคุมโรค โดยจังหวัดจะกำหนดจุดฉีดวัคซีน และแบ่งสัดส่วนวัคซีนสำหรับระบบนัดและการเดินเข้ามารับวัคซีน ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม แต่ทุกจุดฉีดวัคซีนต้องดำเนินการตามมาตรฐาน เฝ้าระวังอาการหลังฉีด ไม่ว่าเข้ามาในรูปแบบใด เมื่อรับวัคซีนแล้วจะมีการบันทึกข้อมูลในหมอพร้อมเพื่อติดตามอาการนัดมารับวัคซีนเข็มที่สอง และออกใบรับรองการฉีดวัคซีน” นายอนุทินกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดหาวัคซีนโควิด 19 สำหรับประชากรไทยในปี 2565 โดยให้เร่งรัดเจรจากับผู้ผลิตที่มีการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 ที่สามารถครอบคลุมไวรัสกลายพันธุ์ ส่งมอบได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2565 และเร่งรัดการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วยแพลตฟอร์มใหม่ สนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนแบบรองรับการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส แนวทางการขึ้นทะเบียนวัคซีนที่วิจัยพัฒนาในประเทศ และแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศในการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 3 โดยจะรายงาน ศบค.รับทราบต่อไป
“การจัดหาวัคซีนไม่ได้เป็นการซื้อครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกรอบกว้างๆ เพื่อจัดหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด ให้ประเทศไทยมีทางเลือกวัคซีนรุ่นใหม่ ยี่ห้อใหม่ ครอบคลุมสายพันธุ์เพิ่มเติมให้มากที่สุด หากประเทศผู้ผลิตต้นทางเกิดสถานการณ์การระบาดที่อาจมีการชะลอการจัดส่ง ทำให้ประเทศไทยมีทางออกในหลายทาง” นายอนุทินกล่าว