fbpx
News update

ครม.ไฟเขียว ตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ สร้างวินัยการออมของประชาชนให้มีรายได้หลังเกษียณ

Onlinenewstime.com : ครม.มีมติเมื่อวันที่ 30 มี.ค.2564 อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. (ร่าง พ.ร.บ. คนบ.) และร่าง พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. (ร่าง พ.ร.บ. คนบ.) และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. (ร่าง พ.ร.บ. กบช.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
    
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. คนบ. มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้มีคณะกรรมการ นโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบาย แผนแม่บท และแนวทางการพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญให้ครอบคลุมผู้พ้นวัยทำงานทั้งหมด เพียงพอต่อการดำรงชีพ มีความเป็นธรรม และยั่งยืน รวมทั้งกำกับดูแลให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินการหรือกำกับดูแลระบบบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้มีการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลเกี่ยวกับระบบบำเหน็จบำนาญของภาครัฐและเอกชน และเพื่อให้นโยบายด้านบำเหน็จบำนาญเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. กบช. คือ การจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติซึ่งเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับสำหรับแรงงานในระบบที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี ครอบคลุมลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวส่วนราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่องค์การมหาชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้แรงงานในระบบได้มีการออมเพื่อการเกษียณเพิ่มเติม มีรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของรายได้ก่อนเกษียณซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอในการดำรงชีพ

โดยให้มีการจ่ายเงินเข้ากองทุนจาก 2 ฝ่าย คือ ลูกจ้างและนายจ้าง ซึ่งเมื่ออายุครบ 60 ปี ลูกจ้างจะสามารถเลือกรับบำเหน็จหรือเลือกรับบำนาญเป็นระยะเวลา 20 ปี นอกจากนี้ กบช. จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับระบบบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้มีระบบข้อมูลสำหรับใช้ประโยชน์ในการยกระดับการบริหารจัดการระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุทั้งระบบ

รู้จักกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ

เพจไทยคู่ฟ้า กล่าวถึง กองทุนบำเน็จบำนาญแห่งชาติว่า เป็นเรื่องที่แรงงานในระบบทุกกลุ่มต้องรู้ เกี่ยวกับกฎหมายฉบับล่าสุดที่ครม.มีมติเห็นชอบ นั่นก็คือ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. ซึ่งถือเป็นการสร้างวินัยการออมของประชาชนวัยทำงาน ในรูปแบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับสำหรับแรงงานในระบบ โดยได้รับผลประโยชน์คืนในรูปแบบการจ่ายบำเหน็จบำนาญ ทำให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพหลังเกษียณ โดยมีกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแล

ใครบ้างที่ต้องเป็นสมาชิกของ กบช.?ลูกจ้างที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี ทั้งลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวของราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่องค์การมหาชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ.

สำหรับการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฯ กบช. จะกำหนดให้นายจ้างและลูกจ้างส่งเงินสมทบแต่ละฝ่าย ดังนี้•

ปีที่ 1 – 3 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของค่าจ้าง

ปีที่ 4 – 6 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของค่าจ้าง

ปีที่ 7 – 9 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 7 ของค่าจ้าง

ปีที่ 10 เป็นต้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยละ 7 – 10 ของค่าจ้าง

โดยกำหนดเพดานค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อเดือน กรณีลูกจ้างเงินเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท ให้นายจ้างส่งเงินฝ่ายเดียว หากลูกจ้างและนายจ้างต้องการส่งเพิ่ม สามารถส่งเพิ่มได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของค่าจ้าง โดยไม่จำกัดเพดานค่าจ้าง.วิธีรับเงินจาก กบช. เมื่อสมาชิกอายุครบ 60 ปี สามารถเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญรายเดือนเป็นระยะเวลา 20 ปี แบ่งเป็น 3 กรณี

1. กรณีเลือกบำเหน็จ ได้รับเงินเท่ากับจำนวนเงินสะสมที่ลูกจ้างส่ง เงินสมทบจากนายจ้าง รวมผลตอบแทน

2. กรณีเลือกบำนาญ แล้วต้องการเปลี่ยนเป็นบำเหน็จก็สามารถทำได้ เช่น รับบำนาญแล้ว 5 ปี ต้องเปลี่ยนเป็นบำเหน็จ จะได้รับเงินเท่ากับเงินบำนาญ 15 ปีที่เหลือ

3. กรณีที่ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยจนใกล้ถึงแก่ชีวิตก่อนครบอายุ 60 ปี เมื่อออกจากงานแล้ว จะขอรับเงินสะสม เงินสมทบ บางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้.

สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินสะสมและเงินสมทบ เงินผลประโยชน์ และเงินที่ได้รับเมื่อเกษียณอายุ .ซึ่งการส่งเงินเข้ากองทุนฯ นี้ จะเป็นสร้างหลักประกันรายได้หลังเกษียณแก่ลูกจ้าง ทำให้นายจ้างมีการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมแก่ลูกจ้าง และการออมภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการลงทุนภายในประเทศ อีกทั้งช่วยบรรเทาภาระงบประมาณการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุในอนาคต