onlinenewstime.com : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า แจงผลสำรวจการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Doing Business 2020 ของธนาคารโลก ประเทศไทยมีอันดับภาพรวมดีขึ้น 6 อันดับ โดยปี 2020 อยู่อันดับที่ 21 จากเดิมปี 2019 อยู่อันดับที่ 27
สำหรับ ‘ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ’ มีคะแนนสูงขึ้น ขยับจาก 92.30 เป็น 92.40 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงคะแนนที่สูงมาก แสดงถึงผลสำเร็จของการปฏิบัติงานอย่างดีเยี่ยม ยืนยันจะพัฒนาการให้บริการ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาภารกิจทุกด้าน ให้มีความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของภาคธุรกิจและประชาชน
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า “เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ธนาคารโลกหรือ World Bank ได้ประกาศผลสำรวจ การจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ Doing Business 2020 ภาพรวมพบว่า ประเทศไทยมีคะแนน Ease of Doing Business สูงขึ้น ขยับจาก 79.50 เป็น 80.10 คะแนน เพิ่มขึ้น 6 อันดับ จากอันดับที่ 27 (ปี 2019) เป็นอันดับที่ 21 (ปี 2020) และอยู่ในกลุ่ม 25 ประเทศแรกของโลกจาก 190 ประเทศ ที่มีความง่ายในการประกอบธุรกิจ
สำหรับตัวชี้วัดภายใต้การจัดอันดับดังกล่าว ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก คือ ตัวชี้วัดด้านการเริ่มต้นธุรกิจ (Starting a Business) ประเทศไทยมีคะแนนสูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดยขยับจาก 92.30 เป็น 92.40 ซึ่งอยู่ในช่วงคะแนนที่สูงมาก แสดงถึงผลสำเร็จของการปฏิบัติงานอย่างดีเยี่ยม ของกรมฯ
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ ส่วนหนึ่งเป็นผล มาจากการพัฒนาของประเทศอื่น ที่มีการพัฒนาในอัตราก้าวหน้า หรือมีการปรับปรุงแล้วเพิ่งส่งผลในปีนี้ โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 47 (ปี 2019 : อันดับที่ 39) และอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และบรูไน ตามลำดับ”
อธิบดีฯกล่าวต่อว่า “สำหรับทิศทางการพัฒนาการให้บริการของกรมฯ เพื่อให้การเริ่มต้นธุรกิจของประเทศไทย มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น สอดรับกับการจัดอันดับที่ดีขึ้นของ Doing Business 2021 โดยกรมฯ จะดำเนินการปรับปรุงระบบการจองชื่อนิติบุคคล ให้สามารถตรวจสอบ และทราบผลการอนุมัติการจองชื่อได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มความรวดเร็วมากขึ้น
และปรับปรุงการจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration) พัฒนารูปแบบการกรอกข้อมูลรายการจดทะเบียนในระบบ e-Registration ให้ง่ายมากขึ้น รวมถึง เพิ่มช่องทางการยืนยันตัวตน ผ่านทางเครื่องมือสื่อสารระบบออนไลน์ โดยประชาชน ไม่จำเป็นต้องเดินทางมายืนยันตัวตนที่กรมฯ ประกอบกับการสร้างความรู้ความเข้าใจ และสนับสนุนให้นักธุรกิจรุ่นใหม่หันมาใช้ระบบ e-Registration เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีธุรกิจจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ ผ่านระบบ e-Registration แล้วจำนวน 24,473 ราย (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2562)”
นอกจากนี้ ยังมีแผนการดำเนินงาน ที่จะรวมขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากร และการขึ้นทะเบียนนายจ้าง-ลูกจ้างของสำนักงานประกันสังคม ไว้กับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมกราคม 2563 ซึ่งหากเปิดให้บริการแล้ว จะทำให้ภาพรวมของการจัดตั้งธุรกิจลดลงจาก 5 ขั้นตอน เหลือ 3 ขั้นตอน และใช้ระยะเวลาลดลงจาก 4.5 วัน เหลือเพียง 2.5 วัน
กรมฯ มั่นใจว่าจะส่งผลให้ผลการพิจารณาการจัดอันดับในปีหน้า มีอันดับที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน ก่อให้เกิดแรงจูงใจและดึงดูดให้ผู้ประกอบการชาวต่างชาติ มาเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย โดยกรมฯ ยืนยันว่าจะพัฒนาระบบการให้บริการด้านการเริ่มต้นธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาภารกิจทุกด้าน ให้มีความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส อันจะเป็นการช่วยประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายของภาคธุรกิจและประชาชนได้เป็นอย่างดี
อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทั้งนี้ รายงานผลการวิจัยเรื่อง Doing Business ถือว่ามีความสำคัญ ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศ จะนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ รวมทั้ง ยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของภาครัฐ และทำให้ภาครัฐ ได้เห็นช่องทางในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน หรือกฎระเบียบต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพได้ชัดเจน ตลอดจนการนำตัวอย่างของประเทศอื่นๆ ที่มีระบบที่ดี มาใช้เป็นกรณีศึกษา เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น”