Onlinenewstime.com : บอร์ดบีโอไอไฟเขียว 3 มาตรการพิเศษ เร่งให้เกิดการลงทุน ทั้งโครงการขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี (SMEs) และการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมเปิดประเภทใหม่ ให้ส่งเสริมรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยวและบ้านผู้มีรายได้น้อย และอนุมัติให้การส่งเสริมกิจการผลิตยางล้อสำหรับยานพาหนะ มูลค่าลงทุนกว่า 7,900 ล้านบาท
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ ซึ่งมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศโดยเร็ว คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เห็นชอบมาตรการพิเศษ 3 มาตรการ เพื่อเร่งรัดการลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ของบีโอไอได้ง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันได้ปรับปรุงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูงกว่า เข้าไปสนับสนุนกิจการขององค์กรในท้องถิ่นให้มากขึ้น
มาตรการกระตุ้นการลงทุน
สำหรับมาตรการแรก มาตรการกระตุ้นการลงทุน สำหรับโครงการขนาดใหญ่ ในอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมาย ที่มีผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจของประเทศ (กิจการกลุ่ม A1 A2 และ A3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 – 8 ปี แต่ไม่รวมกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น)
ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกพื้นที่ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้ นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีการลงทุนจริง (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายในปี 2563 หรือไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 ทั้งนี้ มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ สำหรับคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่ 2 มกราคม 2562 ถึง 30 ธันวาคม 2563
หากดำเนินการกระตุ้นการลงทุนตามมาตรการนี้แล้ว คาดว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุนได้ มากกว่า 200,000 ล้านบาท ในระยะปี 2563 – 2564 นี้
มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ในด้านการส่งเสริม SMEs นั้น ปัจจุบันมีหลายหน่วยงาน ที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริม ทั้งในด้านการเงินและสินเชื่อ ด้านการพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้ รวมถึงด้านการตลาด และการอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยในช่วงปลายปี 2562 ถึงต้นปี 2563 รัฐบาลก็ได้เห็นชอบมาตรการการเงิน และมาตรการสนับสนุนอื่นๆเพิ่มเติม
ในส่วนมาตรการของบีโอไอนั้น เป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งจะช่วยเสริมมาตรการสนับสนุนของหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งในที่ประชุมครั้งนี้ บอร์ดบีโอไอเห็นชอบ ให้มีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริม SMEs เพื่อให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ สามารถเข้าถึงการใช้สิทธิประโยชน์ของบีโอไอได้ง่ายขึ้น
โดยกำหนดคำจำกัดความของ SMEs ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคำจำกัดความของ SMEs ของ สสว. ที่มีการปรับปรุงเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา คือ เป็นกิจการที่ต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 และจะต้องมีรายได้ของกิจการ ทั้งที่ได้รับการส่งเสริม และไม่ได้รับการส่งเสริมไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ใน 3 ปีแรก
ในกรณีตั้งกิจการในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติ บุคลเพิ่มเติมอีก 1 ปี ขณะที่หากตั้งในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 200 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ด้วย
ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2563 ถึง วันทำการสุดท้ายของปี 2564
การปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก
นางสาวดวงใจกล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับ
ขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้กับเศรษฐกิจในระดับฐานรากมากยิ่งขึ้น บอร์ดบีโอไอจึงเห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ที่บีโอไอเปิดให้การส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559
โดยการปรับปรุงมาตรการในครั้งนี้ จะเป็นการขยายระยะเวลาการยื่นขอรับ การส่งเสริมออกไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 และขยายขอบข่ายคุณสมบัติของผู้ขอรับการส่งเสริม ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยให้รวมถึงผู้ประกอบการ ที่มีกิจการที่ดำเนินกิจการอยู่เดิม แต่ยังไม่เคยได้รับการส่งเสริมมาก่อนด้วย ทั้งนี้ กิจการที่ดำเนินการอยู่เดิมจะต้องเป็นประเภทกิจการที่บีโอไอให้ส่งเสริมในปัจจุบันด้วย
นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้โครงการ ที่ยังมีสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลืออยู่ หรือโครงการลงทุนใหม่ ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการนี้ได้ หากมีการลงทุน หรือมีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก
โดยจะได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วนร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการ มีแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้น บอร์ดบีโอไอ ยังได้เปิดโอกาสให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ตามมาตรการเศรษฐกิจฐานราก สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ ตามมาตรการอื่นได้ด้วย
การปรับปรุงประเภทกิจการด้านการท่องเที่ยว
กิจการที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนการท่องเที่ยว เป็นกิจการที่บีโอไอให้การส่งเสริม ในหลากหลายประเภท เพื่อให้เกิดการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ได้มาตรฐาน รวมถึงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย
บอร์ดบีโอไอเห็นว่า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว การยกระดับมาตรฐานกิจการสนับสนุนการท่องเที่ยวเพิ่มเติม จึงเห็นชอบให้ปรับปรุงประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า และกิจการโรงแรม
โดยประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า ได้ขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยวด้วย และกำหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนโครงการที่มีคุณภาพ
สำหรับกิจการโรงแรม ได้มีการปรับเงื่อนไข ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว ที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการกระจายรายได้ และการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง โดยเน้นการสร้างคุณภาพและมาตรฐานของโรงแรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีระยะเวลาพำนักนานขึ้น และมีการใช้จ่ายในประเทศมากยิ่งขึ้น
โดยปรับขอบข่ายพื้นที่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี จากเดิมซึ่งให้เฉพาะกรณีลงทุนในพื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ ขยายเป็นกรณีลงทุนในพื้นที่เมืองรอง 55 จังหวัดตามยุทธศาสตร์ การท่องเที่ยว ทั้งนี้ สำหรับโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ 22 จังหวัดที่ไม่ได้ประกาศเป็นเมืองรอง จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษีอากรเท่านั้น
นอกจากนั้น ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้การส่งเสริมกิจการโรงแรมในทุกจังหวัด โดยจะต้องมีจำนวนห้องตั้งแต่ 100 ห้องขึ้นไป และต้องมีเงินลงทุนต่อห้อง ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน)
แต่หากเป็นโรงแรมที่มีจำนวนห้องไม่ถึง 100 ห้อง จะต้องมีเงินลงทุนรวมไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการพัฒนาห้องพักที่มีคุณภาพและมาตรฐานที่ดี
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ได้มีการผ่อนปรนเงื่อนไข โดยกำหนดจำนวนห้องพัก และเงินลงทุนต่อห้องน้อยกว่าเดิม คือ ต้องมีจำนวนห้องพัก 50 – 99 ห้อง และมีเงินลงทุนต่อห้องไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
การเปิดประเภทกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย
เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย สามารถมีที่พักอาศัยที่มีมาตรฐานเป็นของตนเอง การเพิ่มทางเลือกในด้านทำเลที่ตั้ง สภาพแวดล้อมของชุมชน และมีระดับราคาที่เหมาะสม และสนับสนุนโครงการ “บ้านล้านหลัง” ของธนาคารอาคารสงเคราะห์
บอร์ดบีโอไอจึงมีมติให้เปิดให้การส่งเสริม “กิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย” โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษี เงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี
ทั้งนี้ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ เช่น กรณีอาคารชุด ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร กรณีบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร โดยมีราคาขายต่อหน่วย ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) ในกรณีตั้งในจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ โครงการต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ก่อนยื่นขอรับการส่งเสริมซึ่งกำหนดให้ยื่นคำขอภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นี้
อนุมัติให้ส่งเสริมกิจการผลิตยางล้อสำหรับยานพาหนะ
บอร์ดบีโอไอ เห็นชอบอนุมัติให้การส่งเสริมแก่กิจการผลิตยางล้อ สำหรับยานพาหนะ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7,915 ล้านบาท ตั้งโครงการในนิคมอุตสาหกรรมหลักชัยเมืองยาง จังหวัดระยอง วัตถุดิบหลักในการผลิต ได้แก่ ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ โดยจะใช้ยางธรรมชาติในประเทศ ประมาณ 40,200 ตัน/ปี