เทรนด์การตลาดใน 1-2 ปีที่จะมาถึง จะเริ่มเปลี่ยนจาก Globalization เป็น Localization มากขึ้น เป็นการเติบโตจากภายในสู่ภายนอก เพราะธุรกิจภายในประเทศนั้นโอกาสทางจะมีมากขึ้น ผู้ประกอบการภายในประเทศจะมีโอกาสเติบโตมากขึ้น
แต่การจะคว้าโอกาสได้นั้น องค์กรต้องมีการปรับตัว เจ้าของกิจการและนักการตลาดจะพึ่งพายอดขาย ผ่านการสร้างแบรนด์ด้วยโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเดียวนั้นไม่พออีกต่อไป
วิธีคิดและวิธีปฎิบัติของคนในองค์กรก็ต้องเปลี่ยน ผู้ประกอบการรายย่อยที่ถนัดด้านการผลิต ก็จะต้องมีหัวใจนักการตลาด พร้อมการเป็นนักวางยุทธศาสตร์มากขึ้น ส่วนองค์กรใหญ่ก็ต้องปรับตัวให้มีความฉับไวและยืดหยุ่นแบบผู้ประกอบการรายย่อย ธุรกิจยุค Marketpreneurship จึงต้องก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงในการทำธุรกิจ รวมถึงนำเทรนด์เทคโนโลยีที่มีประโยชน์มาให้เสริมประสิทธิภาพ
“ในปี 2562 นี้ เทคโนโลยีที่น่าจับตามองคือ เรื่องของ Connected Cloud, Chatbots, Data Analytic และการนำ Data ไปใช้ รวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น IoT, AI, Machine Learning และ Edge Computing สิ่งเหล่านี้จะมีบทบาทเป็นอย่างยิ่งในโลกยุคใหม่ และธุรกิจที่เปิดรับและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพทั้งการผลิตและการตลาด ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จกว่าบริษัทที่นิ่งนอนใจ”
ผู้ชนะในน่านน้ำของการแข่งขันในยุคใหม่ จึงไม่ได้วัดกันที่การเป็น ปลาใหญ่ หรือปลาไว แต่ต้องเป็นปลาที่ใช่ หรือ The Right Fish” ซึ่งหัวใจแห่งความสำเร็จประกอบด้วย “5 ใช่” คือ Right People – Right Product – Right Purpose – Right Approach และ Right Time
นายอรรถพล กล่าวว่า Right People คือ “คนที่ใช่” ในยุคที่ส่วนแบ่งของตลาดและกลุ่มผู้บริโภคมีการแบ่งย่อยเป็นอย่างมาก แบรนด์ต้องมีความชัดเจนว่าสินค้าและบริการนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใคร เพราะในโลกยุคปัจจุบัน Mass Marketing หรือ One Size Fit All นั้นเริ่มเลือนหายไป และถูกทดแทนด้วย Personalized Marketing ซึ่งเป็นการตลาดระดับบุคคล ดังนั้น การตั้งโจทย์ที่ถูกต้องต้องเริ่มตั้งแต่การตั้งกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อตอบความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ได้อย่างตรงจุด
Right Product คือ “สินค้าที่ใช่” เพราะการพัฒนาสินค้าและบริการไม่ได้มาจากความเชี่ยวชาญขององค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากความต้องการของลูกค้า ในสมัยนี้ไม่ใช่ว่าแค่ผลิตสินค้าดีมีคุณภาพแล้วคนจะหลั่งไหลมาซื้อ แต่นอกจากดีแล้วยังต้องโดนอีกด้วยคือ สินค้าที่ใช่นั้นต้องโดนใจและตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาในชีวิตของลูกค้า ดังนั้นแบรนด์จึงต้องใกล้ชิดกับผู้บริโภคให้มากขึ้นและทำความเข้าใจกับความต้องการของพวกเขาให้ได้อย่างถ่องแท้
Right Purpose คือ “วัตถุประสงค์ที่ใช่” เนื่องจากเราอยู่ในยุคที่เรื่องของ Shared Purpose เป็นเรื่องสำคัญ เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย ความชอบและการเลือกซื้อเป็นระดับบุคคลมากขึ้น ผู้บริโภคจึงมองหาแบรนด์ที่เป็นเหมือนเพื่อนของเขา คิดอะไรเหมือนกัน มีความเชื่อและมีจุดหมายในชีวิตที่เหมือนกัน ดังนั้นแบรนด์ที่มีวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่มากกว่าแค่การขายสินค้าและบริการจึงมักเป็นแบรนด์ที่ถูกเลือก โดยแบรนด์เหล่านี้ต้องพิสูจน์ความตั้งใจดีด้วยการกระทำ ดังนั้นเรื่องของความรับผิดชอบทางสังคม หรือ CSR จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมชั่วคราว แต่ถูกฝังลงไปในขั้นตอนและแนวคิดของสินค้าด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อและเลือกแนะนำของลูกค้าเป็นอย่างมาก
Right Approach & Right Time “ถูกวิธี ถูกที่” และ “ถูกเวลา” ในยุคที่ผู้บริโภคเป็นใหญ่ แบรนด์ต้องสร้างความเข้าใจใน Customer Journey และเข้าให้ถึงผู้บริโภคให้ ถูกวิธี ถูกที่ และถูกเวลา โดยไม่มีเส้นกั้นระหว่าง Online และ Offline อีกต่อไป ทั้งการสื่อสาร ช่องทางการขาย และการเชื่อมโยงข้อมูลของลูกค้า ทุกอย่างต้องถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน โดยเจ้าของกิจการและนักการตลาดต้องมองภาพใหญ่ให้ชัดเจนเป็นหนึ่งเดียว รวมถึงการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากช่องทางต่าง ๆ จะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ
“สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นหัวใจสำคัญที่เจ้าของกิจการและนักการตลาดจะต้องปรับตัว โดยนำแนวคิด 5 Rights ไปปรับใช้ พร้อมเปิดรับแนวทางของ Marketpreneurship โดยผสมผสานหัวใจนักการตลาดกับความเป็นผู้ประกอบการ เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน”