Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

ผลสำรวจชี้ “โควิด-19 ทำการบริการด้าน HIV ชะงัก: การรับยาสะดุด – การรักษาทางไกลยังจำกัด”

Onlinenewstime.com : การระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19)ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเข้ารับบริการด้านเอชไอวี ของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี และบุคคลที่มีความเสี่ยงที่โรงพยาบาลหรือคลินิกนั้น มีจำนวนลดลงมากอย่างเห็นได้ชัด

จากข้อมูลการสำรวจที่ได้ดำเนินการอยู่ โดยกิลเลียดไซแอนซ์และสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวีพบว่า ประมาณร้อยละ 82 ของผู้ให้บริการด้านเอชไอวี สังเกตว่า ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี มาสถานพยาบาลน้อยครั้งล งหรือมาเลยวันนัด ขณะที่จำนวนร้อยละ 45 ได้รายงานว่า บุคคลที่มีความเสี่ยงมาสถานพยาบาลน้อยลงเช่นกัน โดยแนวโน้มเช่นนี้ อาจยังปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ตามที่ผู้ให้บริการได้กล่าวถึงข้อจำกัดในการเดินทาง ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี และผู้ที่มีความเสี่ยงที่ต้องการรับบริการที่สถานพยาบาล

ตามที่ปรากฏในรายงานโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติฉบับล่าสุด ประเทศไทย เป็นหนึ่งในสามประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่ได้บรรลุเป้าหมาย 90-90-90 ด้านการตรวจและรักษาเอชไอวี[1] แต่ในขณะที่การติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทย มีจำนวนลดลงจากโครงการเชิงรุกที่ประสบผลสำเร็จ

ประเทศไทยก็ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศ ที่มีความชุกของเอชไอวีสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอยู่ [2] และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ความสามารถในการดูแลรักษาผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี และมุ่งที่จะลดการติดเชื้อรายใหม่และหยุดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี ลดลงไป

“แม้ว่าประเทศไทย จะได้ผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ และประชาชนเริ่มใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติแล้วก็ตาม แต่เราควรต้องตระหนัก ถึงความจำเป็นในการมีมาตรการที่จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้อีกในอนาคต

ความต่อเนื่องของการให้บริการด้านการป้องกันและดูแลรักษาเอชไอวีมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในการที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า ความพยายามของเรา ในการลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในอดีต ที่ผ่านมาหลายทศวรรษ จะไม่สูญเปล่า เพื่อให้บรรลุยุทธศาสตร์ชาติ ในการยุติเอชไอวีที่ถือเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขภายในปี 2030 นี้” แพทย์หญิงนิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวีกล่าว

ประเทศไทย เป็นหนึ่งในสิบประเทศของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสำรวจนี้ เพื่อประเมินผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ในการเข้ารับบริการด้านเอชไอวี ทั้งการตรวจหาการติดเชื้อ การรักษา และการป้องกัน

ผู้ร่วมทำแบบสำรวจมีจำนวนทั้งหมด 1,265 คน ซึ่งได้แก่ ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี บุคคลที่มีความเสี่ยง และผู้ให้บริการด้านเอชไอวี ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยผู้ตอบแบบสำรวจนี้จำนวน 83 คนเป็นคนไทย การวิเคราะห์คำตอบ ที่ได้จากการสำรวจ ยังได้ให้มุมมองและสร้างความเข้าใจ ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการระบาดของโควิด-19 อีกด้วย

“โรคระบาดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้ทำให้ระบบสาธารณสุขต้องนำเอากลยุทธ์ต่าง ๆ ออกมาใช้อย่างทันท่วงที เพื่อที่จะไม่ทำให้การให้บริการแก่ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อฯ และผู้ที่มีความเสี่ยงต้องหยุดชะงัก โดยต้องไม่เพิ่มภาระให้แก่สถานพยาบาลด้วย

การให้บริการโทรเวชกรรม ทั้งในด้านการรักษา และการป้องกันเอชไอวี จึงถือเป็นโอกาส ที่เราจะปรับใช้นวัตกรรมทางดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด และอาจเพิ่มการเข้าถึงบริการด้านเอชไอวีในอนาคตได้อีกด้วย” แพทย์หญิงนิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวีกล่าว

“การสำรวจนี้แสดงให้เห็นว่า การสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงการบริการเอชไอวี เป็นสิ่งสำคัญในด้านสาธารณสุขลำดับต้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยังไม่มีความแน่นอนว่า การระบาดจะยุติเมื่อใด

กิลเลียดมีหน้าที่ในการประสานงานร่วมมือกับชุมชนด้านเอชไอวี ตั้งแต่หน่วยงานด้านสาธารณสุข ไปจนถึงผู้ออกใบสั่งยา กลุ่มผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ และภาคประชาสังคมในประเทศไทยและทั่วภูมิภาค เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ ที่จะช่วยปิดช่องว่างในการดูแลรักษา อันจะเป็นหลักประกันถึงการให้บริการด้านการดูแลรักษาผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ต่อไป” บุน-เลิง นีโอ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกิจการทางการแพทย์ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก  กิลเลียดไซแอนซ์


[1]เอกสารข่าวเผยแพรจากเว็บไซต์ UNAIDS-ap.org: โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติได้รายงานการระบาดของโรคเอดส์ในระดับโลกแสดงให้เห็นว่าเป้าหมายของปี 2020 จะไม่บรรลุในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก; จำนวนประชากรส่วนใหญ่ยังคงถูกทอดทิ้ง และความเสี่ยงจากโควิด-19 ทำให้การดำเนินงานผิดไปจากเป้าหมาย

[2] AVERT.org. เอชไอวีและโรคเอดส์ในประเทศไทย

Exit mobile version