Onlinenewstime.com : การสร้างแบรนด์ (Branding) เป็นการสร้างภาพจำ หรือเรียกได้ว่าเป็นการจำกัดความภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้า ไปสู่สายตาผู้บริโภค หลายแบรนด์มีสินค้าที่มีจุดขาย และมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว แต่การสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ยังไม่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มต่างประเทศด้วยแล้ว การสร้างแบรนด์เป็นสิ่งจำเป็นมาก
นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กิจกรรมบ่มเพาะแบรนด์ไทย IDEA LAB 3 ภายใต้แนวคิด From Local Wisdom to Global Market จัดขึ้นเป็นรุ่นที่ 3 มี วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ให้ผู้ประกอบการสามารถนำกลยุทธ์ด้านแบรนด์มาสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ
โดยมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพให้แก่ชุมชน และเศรษฐกิจฐานราก เพื่อผลักดันให้เป็นหนึ่งในปัจจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการส่งออก (Local to Global) โดยกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริม แบรนด์สินค้าและบริการไทยสู่ตลาดโลก หรือ MOC 4i : Thai Brand Heroes Program ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เพื่อฝึกอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ และสร้างเครือข่าย และการให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านกลยุทธ์การสร้างแบรนด์แบบเข้มข้น แก่ผู้ประกอบไทย
ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในยุคปัจจุบัน เพราะผู้บริโภคหลายประเทศทั่วโลก ยินดีที่จะมีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้นหลายแบรนด์ จึงเร่งเพิ่มทักษะและองค์ความรู้ทางด้านนี้
เช่นเดียวกับ 3 แบรนด์ไทยตัวแทน จากผู้เข้ารอบสุดท้ายของการพัฒนาศักยภาพ เตรียมพร้อมเข้าสู่ตลาดสากลใน “กิจกรรมบ่มเพาะแบรนด์ไทย รุ่นที่ 3 IDEA LAB 3:Thai Brand Incubation Program” ซึ่งได้แชร์ประสบการณ์ของจุดเปลี่ยนของความคิดเพื่อสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น
“SANSARD”
วิศรุต ทวีวรสุวรรณ และ มนัสนันท์ ทวีวรสุวรรณ ผู้ก่อตั้งแบรนด์สานสาด ซึ่งเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์กลุ่มพรีเมียม ที่ทำจากเตยปาหนันจังหวัดตรัง เหมาะสำหรับลูกค้าที่ มองหาความแปลกใหม่ ร่วมสมัย กล่าวว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการแบรนด์ต้องการการเสริมศักยภาพ กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ และด้วยความที่แบรนด์ มีจุดเริ่มต้นจากความต้องการช่วยเหลือชุมชนร่วมด้วย เมื่อต้องการจะก้าวไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นต้องมีความชัดเจน ในการกำหนดผลประโยชน์ให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
โดยหลังจากได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในกิจกรรมบ่มเพาะแบรนด์ไทยครั้งนี้ ทำให้มองภาพการวางกลยุทธ์แบรนด์เพื่อทำตลาดที่ชัดเจนขึ้น สามารวางโครงสร้างของแบรนด์ โดยจัดสัดส่วนของการสร้างแบรนด์สินค้า และส่วนที่เป็นโครงการช่วยเหลือออกจากกัน
“เราต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นรู้จักมากยิ่งขึ้น รวมทั้งต้องการขยายโอกาสทางการค้า และโปรเจกท์พิเศษอื่นๆโดยวางแผน ที่จะจำหน่ายไปยังลูกค้าต่างประเทศ ผ่านช่องทางเว็บไซต์และแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักในต่างประเทศของ SARNSARD คือยุโรป เราได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับแนวคิดของการออกแบบในเชิงลึก ด้วยจุดเด่นของสินค้า มีความผสมผสานกันระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น และรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยลายสานที่มีสีสัน ลูกค้าสามารถนำไปใช้งาน และประยุกต์ใช้กับการแต่งตัวที่หลากหลายได้ด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือ ทำให้เห็นมุมมองจากคนภายนอก ที่มองเข้ามาในแบรนด์แล้วตีความแนวคิดออกมา ทำให้เรารู้ว่ายังมีมุมมองหรือมิติอื่นๆ ที่สามารถดึงมาเป็นกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ และสินค้าต่อได้ ซึ่งในช่วงตอบคำถามในกิจกรรมเวิร์คช้อป (Workshop)เป็นการสะท้อนตัวเองว่า เรารู้จักแบรนด์ตัวเองดีพอขนาดไหน และส่วนใดที่ยังขาดการเติมเต็ม สำหรับสถานการณ์โควิด-19 (COVID-19) ที่ผ่านมาก็มีการปรับตัว โดยออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลง สามารถตอบโจทย์ความต้องกา รตามสถานการณ์และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น”
“JOJO”
พิชชา สุตันตั้งใจ เจ้าของแบรนด์โจโจ้ วัย 14 ปีจากจังหวัดเลย ซึ่งเป็นกลุ่มนวัตกรรมสินค้าเกษตรและอาหา รกล่าวว่าแบรนด์ โจโจ้ จุดประกายจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งเข้ามาพักโฮมสเตย์ของที่บ้านชื่นชอบในอาหารเช้าที่จัดให้ และต้องการซื้ออีกเมื่อกลับไปประเทศของตนแล้ว
แต่ด้วยความที่เป็นแบรนด์น้องใหม่ ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดอาหารสุขภาพ ยังขาดประสบการณ์ ยังไม่มีบทเรียนที่จะนำมาใช้วางแผนกลยุทธ์การตลาดให้ครอบคลุม จึงตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมIDEA LAB 3 ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ช่วยทำให้เราได้พบกับผู้เชี่ยวชาญ ที่สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำแนวคิดต่างๆ
หลังจากร่วมกิจกรรมพบว่าแบรนด์ ยังต้องเสริมรูปแบบของผลิตภัณฑ์แนวสุขภาพที่มีอยู่ ให้หลากหลายมากขึ้น เช่น ขนมปัง หรือผลิตภัณฑ์ทาขนมปังที่เน้นสุขภาพดี แต่ยังอร่อยได้เหมือนเดิม
“ในยุคโควิด-19 ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพถือว่าได้เปรียบ แต่ต้องมีการสื่อสารให้ตรงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยต้องพัฒนาตัวเอง ปรับตัวให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า แบรนด์ JOJO เน้นการใช้วัตถุดิบจากผลไม้ไทย ที่อร่อยและปลอดภัย และต้องการช่วยเหลือชุมชนให้มีรายได้ จากการทำเกษตรแบบอินทรีย์ซึ่งดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันตลาดโลกมองเรื่องเศรษฐกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise กันมากขึ้น ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายเรา คือกลุ่มรักสุขภาพทั้งแบบครอบครัวและวัยทำงาน เรามองไปที่ตลาดยุโรป อเมริกา และเอเชีย เพราะประเทศในทวีปเหล่านี้ รู้จักประเทศไทยผ่านการท่องเที่ยว ความเป็นเมืองร้อน ที่มีผลไม้และอาหารอร่อย เป็นปัจจัยหนึ่งให้เราถูกเลือก
แม้ว่าตอนนี้เรายังขายในประเทศ 100% แต่มีการติดต่อจากบริษัทต่างประเทศ เช่น อเมริกากลาง สิงคโปร์เข้ามา รวมถึงนักท่องเที่ยวจากอเมริกาซึ่งชื่นชอบผลิตภัณฑ์นี้มาก
สิ่งที่ดีมากจากการร่วมกิจกรรมนี้คือ การได้ฟังรุ่นพี่ที่ ผ่านการบ่มเพาะแบรนด์มาแล้วในช่วง success case ทำให้ได้รู้ว่าการนำหลักการ และคำแนะนำ ไปปฏิบัติให้กลายเป็นจริงทำอย่างไร ฟังแล้วมีแรงบัลดาลใจ จะทำต่อจนสำเร็จ นอกจากนี้ยังคุยกับโค้ชผู้เชี่ยวชาญ ที่มีหลักการและประสบการณ์ที่ดีมาก ได้เปิดหูเปิดตา รวมถึงได้ฝึกทักษะการแสดงออกและนำเสนองาน โดยจะนำความรู้ที่ได้รับ ไปปรับใช้ในการวางแผน และปรับตัวตลอดเวล าให้อยู่ได้กับสังคมและเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
“ING-ON”
พิชญา ศรายุทธ กรรมการผู้จัดการบริษัท ดีเอฟที (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์สบู่สมุนไพรอิงอร ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม เจ้าของสโลแกนสวยจริงอิงอร ที่ส่งออกไปหลายประเทศ และเพิ่งคว้ารางวัล PM Export Award 2020 สาขา Best Thai Brand กล่าวว่า เหตุผลที่ทำให้เข้าร่วมกิจกรรมบ่มเพาะครั้งนี้ เพราะต้องการพัฒนาต่อยอดให้แบรนด์มีจุดขายที่แข็งแรงขึ้น มีแนวทางในการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องสมุนไพรที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งต้องการเพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่อายุประมาณ 20-25 ปี ที่เป็นกลุ่มคนเมือง
โดยผู้เชี่ยวชาญได้แนะนําให้สร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมารองรับ ปรับภาพลักษณ์บรรจุภัณฑ์ รูปแบบการนําเสนอ และตั้งชื่อแบรนด์ที่ทันสมัยมากขึ้น แต่ยังคงความเป็นไทย เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยไม่กระทบกับแบรนด์หลักและฐานลูกค้าเก่าที่มีอยู่
“ปัจจุบันสัดส่วนการขายในประเทศ 95% และส่งออก 5% ซึ่งการทําตลาดต่างประเทศ ช่วยให้เรามองโลกที่แตกต่างกันได้กว้างขึ้น บางครั้งสินค้าที่ขายไม่ดีในไทย กลับได้รับความนิยมมากในบางประเทศ ดังนั้นการขยายไปต่างประเทศ จะช่วยให้เรากระจายความเสี่ยงของธุรกิจ มีหลายประเทศ ที่เราเข้าไปทําตลาด อยู่ในช่วงที่นิยมเทรนด์สุขภาพ และชอบใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
เราจึงเชื่อว่าสบู่สมุนไพรอิงอร ยังมีโอกาสอีกมากที่จะขยายเข้าไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ การเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ หัวข้อเรื่องการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นสิ่งที่ตนชอบมากที่สุด เพราะบรรจุภัณฑ์คือการสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า และเป็นประสบการณ์แรก ที่ลูกค้าได้เห็นและสัมผัสกับสินค้า ทำให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการทดลองนําสินค้าที่ได้พัฒนาร่วมกับทีมที่ปรึกษา ออกวางจําหน่ายในไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่อไป”