Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

สพฉ. เปิดสถิติการพลัดตกหกล้ม ในผู้สูงอายุ ใช้บริการรถพยาบาลฉุกเฉิน วันละกว่า 140 ครั้ง

onlinenewstime.com : ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แบบสมบูรณ์ในปี 2564  และจากสถิติที่ผ่านมา พบว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุ ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป  เข้ารับบริการในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ด้วยสาเหตุ การพลัดตกหกล้มมากขึ้น และใช้บริการรถพยาบาลฉุกเฉิน ด้วยสาเหตุการพลัดตกหกล้มวันละกว่า 140 ครั้ง  มีผู้สูงอายุที่เสียชีวิต จากการหกล้มเฉลี่ยวันละ 2 คน !

เรืออากาศเอก นายแพทย์อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)  กล่าวว่า ในรอบ 3 ปีกว่า  นับตั้งแต่ปี 2559 – 2562 (2 ไตรมาส)   มีจำนวนผู้สูงอายุ ที่บาดเจ็บด้วยสาเหตุการพลัดตกหกล้ม มาด้วยระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ทั้งหมด  141,895 ราย หรือเพิ่มมากขึ้น คิดเป็น ร้อยละ 29.5 จากปี 2559   

โดยกลุ่มที่เข้ารับบริการ ในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน มากที่สุด คือ  กลุ่มที่มีอายุ 60-64 ปี    รองลงมา คือ กลุ่มอายุ 65-69 ปี และ กลุ่มอายุ 70-74 ปี ตามลำดับ และส่วนใหญ่ เป็น เพศชาย มากกว่า เพศหญิง แต่เมื่ออายุมากขึ้น ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป จะพบว่า เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

โดยเฉพาะ ในปี 2562 มีจำนวนผู้สูงอายุ ที่บาดเจ็บ ด้วยสาเหตุพลัดตกหกล้ม มาด้วยระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ทั้งหมด  24,364 ราย เป็นเพศชาย 10,745 ราย และเพศหญิง 10,981 ราย  ส่วน 5 จังหวัดที่ มีสถิติสูงสุด คือ  ขอนแก่น, นครราชสีมา, เชียงใหม่, อุบลราชธานี และร้อยเอ็ด

เลขาธิการ สพฉ. ระบุว่า   การบาดเจ็บ ที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ที่พลัดตกหกล้ม ส่วนมากคือ กระดูกสะโพกหัก หรือแตก  ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือน ซึ่งเป็นสาเหตุ ทำให้พิการ และมีอัตราการเสียชีวิต ค่อนข้างสูง  เนื่องจากผู้สูงอายุ มักมีภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกพรุน เมื่อหกล้ม กระดูกจึงเกิดการแตกหรือหักได้ง่าย

นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการบาดเจ็บร่วมกัน ในหลายอวัยวะ ประกอบกับผู้สูงวัย มักมีโรคประจำตัว เช่น ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง จึงยิ่งทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น 

ซึ่งสาเหตุสำคัญ ของการพลัดตกหกล้ม คือ ตัวผู้สูงอายุเอง มีความเสื่อม และการถดถอยของร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ ลดลง เช่น การมองเห็นไม่ชัด การทรงตัวไม่ดี แขนขาอ่อนแรง  หรืออาจเกิดจาก สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น พื้นและบันไดลื่น พื้นต่างระดับ  แสงสว่างไม่เพียงพอ  

การช่วยเหลือเบื้องต้น เริ่มแรกคือ ต้องตั้งสติให้ดี อย่าตื่นตกใจ จากนั้น ให้ประเมินการบาดเจ็บ  หากไม่สามารถขยับ และลุกเองได้ หรือเมื่อขยับขาแล้ว รู้สึกปวดสะโพกหรือโคนขา  หรือสงสัยว่า กระดูกสะโพกหัก ให้ผู้ป่วยพักในท่าที่สบาย พยายาม อย่าเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อป้องกันกระดูกที่หัก ไปทำลายเนื้อเยื่อ หลอดเลือด และเส้นประสาทข้างเคียง 

ให้รีบโทรแจ้ง สายด่วนฉุกเฉิน 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หากศีรษะกระแทก และไม่รู้สึกตัว ให้นอนในท่าเดิม และรีบโทรแจ้ง 1669 ทันที ส่วนกรณีที่มีแผลเลือดออก ให้ใช้ผ้าสะอาดกดไว้นาน 10-15 นาที

ทั้งนี้ เรืออากาศเอก นายแพทย์อัจฉริยะ ยังเสนอแนวทาง การป้องกัน โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ 

การป้องกันในระดับปฐมภูมิ   คือ การส่งเสริมสุขภาพ ควรรับประทานอาหารให้เพียงพอ เน้นผักและผลไม้ เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย และต้านทานโรค  นอกจากนี้ ควรหมั่นออกกำลังกาย ฝึกการเดิน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ  เน้นฝึกการทรงตัว และการเคลื่อนไหว ควรเปลี่ยนท่าช้าๆ เพื่อป้องกันภาวะความดันตก  หน้ามืด วิงเวียน

ส่วน การป้องกันในระดับทุตติยภูมิ วิธีการคือ  ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสม  บ้านควรเป็นบ้านชั้นเดียว  กรณีบ้าน 2 ชั้น ควรจัดให้ผู้สูงอายุ อยู่ชั้นล่าง มีราวจับหรือราวพยุง  มีแสงสว่างเพียงพอ พื้นเรียบเสมอกัน ไม่ลื่น ไม่ควรมีธรณีประตู 

การจัดวางสิ่งของในบ้าน ต้องเป็นระเบียบ ง่ายต่อการหยิบใช้ ห้องน้ำควรเป็นประตูแบบเปิดออก หรือบานเลื่อน โถส้วมเป็นแบบนั่งราบ หรือนั่งห้อยขา มีที่นั่งสำหรับอาบน้ำ สูงจากพื้น 40-45 เซนติเมตร ห้องนอน ควรอยู่ใกล้ห้องน้ำ เตียงหรือที่นอน มีความยาวไม่น้อยกว่า 180 เซนติเมตร ความสูงจากพื้น ถึงระดับข้อพับเข่า เพื่อให้ลุกได้สะดวก และมีพื้นที่ว่างรอบเตียงอย่างน้อย 90 เซนติเมตร   

และสุดท้ายคือ การป้องกันในระดับตติยภูมิ คือ  การป้องกันการหกล้มซ้ำ ต้องหมั่นให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น

Exit mobile version