Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

สภาพัฒน์แถลง GDP ไตรมาสสี่ ปี 2563 -4.2% คาดปีนี้โต 2.5-3.5%

gdp q4 2020-2021

Onlinenewstime.com : เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 นายดนุชา  พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สี่ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2564 โดยมีรายละเอียดดังนี้

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2563

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ลดลงร้อยละ 4.2 ปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 6.4 ในไตรมาสที่สาม (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี 2563 ร้อยละ 1.3 (QoQ_SA) รวมทั้งปี 2563 เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงร้อยละ 6.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในปี 2562

ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนกลับมาขยายตัว การลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าลดลงในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัว ส่วนการส่งออกบริการลดลงต่อเนื่อง การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 0.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.7 และร้อยละ 0.6 ในไตรมาสที่สองและที่สาม ตามลำดับ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยการใช้จ่ายในหมวดบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ตามการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายในกลุ่มบริการสุขภาพ และกลุ่มบริการด้านการศึกษา ร้อยละ 4.9 และร้อยละ 1.7 ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มการเช่าที่อยู่อาศัย กลุ่มการใช้น้ำประปา ไฟฟ้าและพลังงาน ขยายตัวร้อยละ 1.5 ส่วนการใช้จ่ายกลุ่มโรงแรมและภัตตาคารลดลงต่อเนื่องร้อยละ 58.7

การใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 1.1 สอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ร้อยละ 1.8 ขณะที่การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 9.2 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 19.6 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการซื้อยานพาหนะร้อยละ 0.1 เทียบกับการลดลงร้อยละ 17.5 ในไตรมาสก่อนหน้า และการใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงต่อเนื่องร้อยละ 12.4

การปรับตัวดีขึ้นของการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสนี้ สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมซึ่งอยู่ที่ระดับ 44.3 เทียบกับ 43.0 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ1.9 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการและค่าตอบแทนแรงงาน (ค่าจ้าง เงินเดือน) ที่ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 4.4และร้อยละ 3.0 ตามลำดับ โดยอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 28.6 (สูงกว่าร้อยละ 22.8 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)

การลงทุนรวมลดลงร้อยละ 2.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.6 ในไตรมาสที่สาม โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 3.3 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ10.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบด้วยการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรลดลงร้อยละ 3.2 และการลงทุนในสิ่งก่อสร้างลดลงร้อยละ 3.8 ส่วนการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 0.6 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 17.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 20.0 ขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 21.8 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้ อยู่ที่ร้อยละ 11.2 เทียบกับร้อยละ 4.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีงบประมาณก่อน

ในด้านภาคการค้าต่างประเทศ การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 58,095 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 1.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 8.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 1.6 ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ยางพารา (ขยายตัวร้อยละ 25.4) มันสำปะหลัง (ขยายตัวร้อยละ 30.2)ผลิตภัณฑ์ยาง (ขยายตัวร้อยละ 29.8) คอมพิวเตอร์ (ขยายตัวร้อยละ 2.6) รถยนต์นั่ง (ขยายตัวร้อยละ 0.5) และชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ขยายตัวร้อยละ 6.1) กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ น้ำตาล (ลดลงร้อยละ 67.4) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ11.4) รถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 10.9) และเคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ0.6) การส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลียขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดจีน อาเซียน (9) สหภาพยุโรป (27) ไม่รวมสหราชอาณาจักร และตะวันออกกลาง(15) ลดลง เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ 0.9 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ 0.4

ด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรม กลับมาขยายตัว การผลิตสาขาอุตสาหกรรม สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ ลดลงในอัตราที่ชะลอลงขณะที่การผลิตสาขาไฟฟ้าและก๊าซฯ ลดลงต่อเนื่องสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ร้อยละ 0.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผลผลิตหมวดพืชผลสำคัญ ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยและปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกเช่นข้าวเปลือก (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9) ไก่เนื้อ (เพิ่มขึ้นร้อยละ6.7) และไข่ไก่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6) เป็นต้น ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลงเช่นกลุ่มไม้ผล (ลดลงร้อยละ 322.0) อ้อย(ลดลงร้อยละ 10.8) และยางพารา (ลดลงร้อยละ0.8) เป็นต้น

ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 12 ร้อยละ 4.5 และหมวดประมงลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 5.6 ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 โดยสินค้าสำคัญที่ราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.2)ปาล์มน้ำมัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 71.4) และสุกร (เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.9) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการลดลงได้แก่ ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 10.8) และไก่เนื้อ (ลดลงร้อยละ 9.4) เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของทั้งดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร และดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 12.1 สาขาการผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.7 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 5.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงร้อยละ 3.0 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 5.7 ในไตรมาสก่อนหน้าและดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ0.5 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 1.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30–60 ขยายตัวร้อยละ 0.4 ปรับตัวดีขึ้นมากจากการลดลงร้อยละ 23.3 ในไตรมาสก่อนหน้า

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ลดลง เช่นการผลิตน้ำตาล(ลดลงร้อยละ43.9) การผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย(ลดลงร้อยละ17.2) และการผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ (ลดลงร้อยละ7.7) เป็นต้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญๆที่เพิ่มขึ้น เช่นการผลิตยานยนต์ (ร้อยละ3.7) การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ6.8) และการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (ร้อยละ32.5) เป็นต้น

สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 64.22 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.63 ในไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63.33 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ35.2 ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ39.3 ในไตรมาสก่อนหน้าสอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้น ของการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยในไตรมาสนี้มีรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.159 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 45.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 57.1 ในไตรมาสก่อนหน้า

นอกจากนั้นการดำเนินมาตรการเปิดประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ( Special Tourist  VISA  :  STV) ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส 10,822 คน (รวมนักท่องเที่ยวกลุ่มThailand  Privilege  Card) อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ32.49 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ26.69 ในไตรมาสก่อนหน้าแต่ต่ำกว่าร้อยละ 70.71 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าลดลงร้อยละ 21.1 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 22.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยบริการขนส่งทางอากาศลดลงร้อยละ 68.1 ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการลดลงร้อยละ71.0 ในไตรมาสก่อนหน้า บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงลดลงร้อยละ 12.7 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ17.7 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการขนส่งทางน้ำลดลงร้อยละ 4.3 ส่วนบริการสนับสนุนการขนส่งลดลงร้อยละ 22.1 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 22.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการไปรษณีย์ขยายตัวร้อยละ 27.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 12.8 ไตรมาสก่อนหน้า

เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.86 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 1.90 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -0.4 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 1.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (3.45 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ0.8 ของ GDPเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 อยู่ที่ 2.58 แสนล้านดอลลาร์ สรอ.และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,136,114.6ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.1ของ GDP

เศรษฐกิจไทยปี 2563

เศรษฐกิจไทยปี 2563 ลดลงร้อยละ 6.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในปี 2562 ด้านการใช้จ่ายมูลค่าการส่งออกสินค้า การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนรวมลดลงร้อยละ 6.6 ร้อยละ 1.0 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาล และการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.8 และร้อยละ 5.7 ตามลำดับ

ด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง สาขาอุตสาหกรรม สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารและสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าลดลงร้อยละ 3.4 ร้อยละ 5.7 ร้อยละ 36.6 และร้อยละ 21.0ตามลำดับ รวมทั้งปี 2563 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 15.7ล้านล้านบาท (5.02แสนล้านดอลลาร์ สรอ.) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 225,913.8 บาทต่อคนต่อปี (7,219.2ดอลลาร์ สรอ. ต่อคนต่อปี)

เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -0.8 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 3.3 ของ GDP

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564

เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 2.5 –3.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญประกอบด้วย (1) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ (3) การกลับมาขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศและ (4) การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ.จะขยายตัวร้อยละ 5.8 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 2.0 และร้อยละ 5.7 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0–2.0 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.3 ของGDP

รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2564 ในด้านต่างๆ มีดังนี้

  1. การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.0 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.0 ในปี 2563 ซึ่งเป็นการปรับลดจากการขยายตัวร้อยละ 2.4 ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดระลอกใหม่ ที่เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและทำให้ต้องมีการดำเนินมาตรการควบคุมในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตามในกรณีฐานคาดว่าจะสามารถควบคุมการระบาดให้อยู่ในวงจำกัดได้ ภายในไตรมาสแรก และการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปี จะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของฐานรายได้จากภาคการส่งออกรายได้เกษตรกร และมาตรการเยียวยาผลกระทบและกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศของภาครัฐและ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.1 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 0.8 ในปี 2563 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มจากการขยายตัวร้อยละ 4.7 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมาตามการปรับเพิ่มสมมติฐานการเบิกจ่ายสะสมภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ฯ 1 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 จากร้อยละ 70 ของวงเงินกู้ในการประมาณการครั้งก่อนเป็นร้อยละ 80 ในการประมาณการครั้งนี้และสอดคล้องกับสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ร้อยละ 98.0 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 97.4 ในปี 2563
  2. การลงทุนรวม คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.8 ในปี 2563 การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 10.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 5.7 ในปี 2563 แต่เป็นการปรับลดจากการขยายตัวร้อยละ 12.4 ในการประมาณการครั้งก่อน ตามการปรับลดสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 75 ของวงเงินงบประมาณ ต่ำกว่าร้อยละ 80 ในสมมติฐานการประมาณครั้งที่ผ่านมา ส่วนการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 8.4 ในปี 2563 และเป็นการปรับลดจากการขยายตัวร้อยละ 4.2 ในการประมาณการครั้งก่อนเนื่องจากผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน สอดคล้องกับแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก
  3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ.คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.6 ในปี 2563 และเป็นการปรับเพิ่มจากการขยายตัวร้อยละ 4.2 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 3.8 สูงกว่าการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในการประมาณการ 5 ครั้งก่อนสอดคล้องกับการปรับเพิ่มสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกจากร้อยละ 4.9 และร้อยละ 5.0 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา เป็นร้อยละ 5.2 และร้อยละ 6.7 ตามลำดับ รวมทั้งการปรับเพิ่มสมมติฐานราคาสินค้าส่งออก จากการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0อย่างไรก็ตาม การปรับลดสมมติฐานรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังมีความล่าช้า ทำให้การส่งออกบริการอยู่ในระดับต่ำกว่าประมาณการครั้งที่ผ่านมา เมื่อรวมกับการส่งออกสินค้าทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการรวมลดลงร้อยละ 0.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 0.1 ในการประมาณการครั้งก่อนและการลดลงร้อยละ19.4 ในปี 2563

ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2564

การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงปี 2564 ควรให้ความสำคัญกับ (1) การควบคุมการแพร่ระบาดและการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงภายในประเทศโดย (i) การดำเนินการตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และ (ii) การจัดหาและบริหารจัดการวัคซีนให้ครอบคลุมทั่วถึง และเพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างรวดเร็ว และจัดลำดับความสำคัญ โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วน ในการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และการรักษาความต่อเนื่องของการผลิตในพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดลำดับความสำคัญตามหลักการทางสาธารณสุข (2) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ (3) การดูแลภาคเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการ ที่เกี่ยวเนื่องซึ่งการฟื้นตัวยังมีข้อจำกัด จากมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ รวมทั้งการพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพิ่มเติม (4) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ(5) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเพื่อสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศโดย (i) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการระบาดของโรค (ii) การสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของสินค้าไทย ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคในพื้นที่ฐานการผลิตสำคัญอย่างเข้มงวด (iii) การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าภายใต้กรอบความร่วมมือที่สำคัญ (iv) การให้ความสำคัญกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญๆ ที่อาจถูกหยิบยกเป็นเครื่องมือสำหรับการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า (v) การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า (vi) การลดต้นทุนการผลิตสินค้าที่สำคัญ ๆ เพื่อลดแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท และ (vii) การป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน (6) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนโดยให้ความสำคัญกับ (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2561 –2563 ให้เกิดการลงทุนจริ ง(ii)การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (iv) การขับเคลื่อนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ (v) การขับเคลื่อนมาตรการสร้างศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง (7) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (8) การเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งและการดูแลรายได้เกษตรกรและ (9) การติดตามและเตรียมการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูง และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

15 กุมภาพันธ์ 2564

Exit mobile version