onlinenewstime.com : โลกยังคงผวากับภัยแผ่นดินไหว คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จากการสนับสนุนทุนวิจัยของ สนง.คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เผยผลวิจัยพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เมืองโบราณเชียงแสน บนรอยเลื่อนแม่จัน ซึ่งมีพลังและยาวที่สุดแห่งหนึ่ง ในประเทศไทย
ผศ.ดร. จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในนานาประเทศ ต่างพยายามทุ่มเท ค้นคว้าเทคโนโลยีในการเตือนภัยแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติ ที่มนุษย์ยังไม่สามารถรู้ล่วงหน้าเกินกว่า 4 วินาที แม้แต่ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์กับแผ่นดินไหวมายาวนาน
การเตือนภัยแผ่นดินไหว เป็นเรื่องคาดการณ์ได้ยาก ดังนั้น งานวิจัยและพัฒนา เพื่อคลี่ความเร้นลับในรอยเลื่อนที่มีพลัง เช่น แม่จัน มาเป็นองค์ความรู้แก่คนไทย และสำคัญที่สุด คือการเตรียมความพร้อม ในการรับมือภัยแผ่นดินไหว ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
การบริหารจัดการและมาตรการต่าง ๆ กลไกการเกิดแผ่นดินไหว ผลกระทบที่จะตามมา การใช้นวัตกรรมและการฟื้นฟูเมือง รวมถึงการกำหนดเกณฑ์ปลอดภัย ในการก่อสร้างอาคาร และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อันจะช่วยลดการสูญเสียจากภัยแผ่นดินไหว
ดร.วศพร เตชะพีรพานิช หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การศึกษาวิจัย เรื่อง ความเสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เมืองโบราณเชียงแสน บนรอยเลื่อนแม่จัน จ.เชียงราย ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เมืองโบราณเชียงแสนบนรอยเลื่อนแม่จัน จ.เชียงราย แนวโน้มและความเป็นไปได้ ของการเกิดเหตุแผ่นดินไหว เพื่อทําการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะ ของแผ่นดินไหว ธรรมชาติของแผ่นดินไหว ไว้เป็นข้อมูลพื้นฐาน ในการวางแผนรับมือ และเตรียมพร้อมกับภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวต่อไป
ผศ.ดร. ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รอยเลื่อนแม่จัน จ. เชียงราย เป็นหนึ่งใน 14 รอยเลื่อนในประเทศไทย ที่มีพลังและยาวที่สุด เคลื่อนตัวตามแนวระนาบ แบบเหลื่อมซ้าย พาดผ่านตั้งแต่ อ. ฝาง จ.เชียงใหม่ อ.แม่จัน อ.เชียงแสน จ. เชียงราย เข้าสู่ประเทศลาว ระยะทางกว่า 185 กิโลเมตร หรือสังเกตได้ จากแนวเส้นทางหลวงหมายเลข 1089
ในอดีตมีความเชื่อว่า รอยเลื่อนแม่จันเคยทำให้เกิดแผ่นดินไหว เมื่อ 1500 ปีก่อน ประมาณปี พ.ศ. 1003 ทำให้อาณาจักรโยนกนาคนคร ล่มสลายและน้ำท่วมเมืองจมหายไป
ต่อมาใน ปี พ.ศ.1868 ในยุคต้นของอาณาจักรล้านนา พระเจ้าแสนภู ได้สร้างเชียงแสน เป็นเมืองเอก ในอาณาจักรล้านนา มีอายุเก่าแก่ประมาณ 600 – 700 ปี และยังคงมีเจดีย์โบราณกว่า 100 แห่ง ที่ยังปรากฏอยู่มาถึงปัจจุบัน อาทิ “เจดีย์หลวง” ซึ่งสร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1871 ความสูงยอดเจดีย์ ในประวัติเริ่มแรก 58 เมตร
แต่ปัจจุบันมีความสูง 35 เมตร เนื่องจากยอดขนาด 7 เมตรเคยหักโค่นลงมาเมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหวในประเทศพม่าในปี 2554 ต่อมาได้รับการบูรณะกลับคืนมาเหมือนเดิม
อีกหนึ่งโบราณสถานที่สำคัญ “เจดีย์ป่าสัก” ซึ่งสร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1875 ซึ่งมีความแตกต่าง จากเจดีย์หลวงคือสถาปัตยกรรมในการสร้างนั้น เป็นลักษณะเดียวกับรูปแบบเจดีย์ในต้นยุคล้านนา ตรงตามอายุในสมัยการก่อสร้าง ประมาณปี พ.ศ. 1875 ความสูง 21 เมตร โดยได้รับความเสียหาย จากแผ่นดินไหวในปี 2554 เช่นเดียวกันกับเจดีย์หลวง โดยมีเพียงยอดเจดีย์ เกิดการเอียงและมีรอยแตก ทั้งนี้ “เจดีย์ป่าสัก” ตั้งอยู่ใกล้กับรอยเลื่อนแม่จันมาก
พื้นที่ อ.เชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่บนรอยเลื่อนแม่จัน ในอดีตเป็นท่าเรือสำคัญ ที่ทำการค้าขายกับอาณาจักรเพื่อนบ้าน นับตั้งแต่ครั้งสร้างเมืองเชียงแสน เมื่อ 600 – 700 ปีมาแล้ว กลับไม่เคยมีประวัติความเสียหาย จากแผ่นดินไหวใหญ่ โดยโบราณสถานเหล่านี้ ยังคงอยู่ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ในช่วง 600 – 700 ปีที่ผ่านมา แม้จะเกิดแผ่นดินไหวบ้าง ในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ไม่รุนแรง ถึงขนาดที่ทำให้โบราณสถานเหล่านี้ เกิดการพังทลาย
จึงมีความเป็นไปได้ ที่รอยเลื่อนแม่จันยังคงสะสมพลังงานอยู่ และทำให้เกิดแผ่นดินไหว ที่อาจสร้างความเสียหายได้ เนื่องจาก
1.) พื้นที่รอยเลื่อนโดยรอบ อ.เชียงแสน ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวแล้วทั้งหมด เหลือเพียงรอยเลื่อนแม่จัน ที่ยังไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวมากว่า 600 – 700 ปี แล้ว
2.) ความยาวของรอยเลื่อนแม่จัน ที่มีความยาวถึง 180 กว่ากิโลเมตร
3.) ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ และโบราณสถานต่าง ๆ ซี่งได้รับความเสียหายน้อยมาก จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในอดีตในช่วง 600 – 700 ปีที่ผ่านมา การคงอยู่ของโบราณสถานเมืองเชียงแสนตลอด 600 – 700 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นสิ่งยืนยันว่าในบริเวณนี้ ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวอีกเลย ในช่วงเวลานั้น
ในการวิจัยโดยใช้แบบจำลองแผ่นดินไหว ของ 5 รอยเลื่อน ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งแปรผันไปตามระยะห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว Rrup (km) กับขนาดแผ่นดินไหว พบว่า หากรอยเลื่อนทั้ง 5 รอยนี้ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ ในระดับ 6.8 – 7.1 (ตัวอย่าง ข้อ 1) ความเสียหายที่เกิดขึ้น กับโบราณสถานเมืองเชียงแสน ค่อนข้างสอดคล้องกับความเสียหาย ที่พบเนื่องจากแผ่นดินไหวในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
แต่ทว่าหากแผ่นดินไหว มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น มีขนาดมากกว่า 7.5 (ตัวอย่าง ข้อ 2 และ 3) เนื่องจากรอยเลื่อนต่าง ๆ รอบเมืองเชียงแสน โบราณสถานต่างๆ ในเมืองเชียงแสน ควรจะได้รับความเสียหาย มากกว่าที่พบเห็นในปัจจุบัน
แต่หาก รอยเลื่อนแม่จัน ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ ในระดับ 6.8 (ตัวอย่าง ข้อ 1) ความเสียหายควรจะมาก เพียงพอจนโบราณสถานเหล่านี้ ไม่น่าจะคงอยู่ได้ ในลักษณะสมบูรณ์ เช่นดังปัจจุบัน
จึงเชื่อได้ว่ารอยเลื่อนแม่จันยังคงเป็น บริเวณที่มีแนวโน้มสูง ในการเกิดแผ่นดินไหวในอนาคต (Seismic Gap)
แนวทางการรับมือ ในด้านธรณีวิทยา ควรศึกษารอยเลื่อนแม่จันเพิ่มขึ้น เพื่อทำนายอายุคาบการเกิดแผ่นดินไหว จากรอยเลื่อนแม่จันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในด้านวิศวกรรม ควรเตรียมความพร้อม พัฒนาเมือง ที่คงทนยืดหยุ่น และฟื้นตัวง่าย (Resilient City) เช่น การให้ความรู้มาตรฐาน การก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหว ตามหลักวิศวกรรม ระบบการกู้ภัยแผ่นดินไหว การฟื้นฟูเมืองหลังแผ่นดินไหว
ให้ความรู้แก่ชุมชน เกี่ยวกับการเอาตัวรอดในภาวะ การสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น โรงพยาบาล สะพาน เพื่อให้สามารถทำงาน ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ และควรมี “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ทุกคน สามารถมาพักพิงได้ โดยอาคารเหล่านี้ จะไม่ทำให้เกิดความเสียหาย เพิ่มเติมจากแผ่นดินไหวได้
ด้านโบราณคดี จะมีการอนุรักษ์โบราณสถานอันเก่าแก่ ซึ่งเป็นมรดกชาติและมรดกโลกไว้อย่างไร ให้ยืนยาว โดยต้องร่วมศึกษา ถึงกรรมวิธีก่อสร้างและวัสดุโบราณ นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ มาผสมผสานอย่างเหมาะสม เพื่อให้มั่นคงแข็งแรง แต่ยังคงมิติคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และศิลปะความงามดั้งเดิมไว้ หากมีการบูรณะซ่อมแซม ควรคำนึงถึงผลกระทบ ของรูปลักษณ์ ที่จะขัดต่อความเป็นมรดกโลกด้วย