fbpx
News update

เอ.เอส. วัตสัน กับแนวคิดร้านค้า เพื่อสิ่งแวดล้อม มุ่งสานต่ออนาคตที่ยั่งยืน

Onlinenewstime.com : เมื่อเร็วๆ นี้ เอ.เอส. วัตสัน (A.S. Watson) ในฐานะบริษัทแม่ของบริษัทในเครือวัตสัน ได้ฉลองครบรอบ 180 ปี ซึ่งมีการนำเสนอกรอบแนวคิดร้านค้าเพื่อความยั่งยืน (Greener Stores Global Framework) อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการขับเคลื่อนสู่การเป็นร้านค้าปลีกที่มีความเป็นมิตรและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่น้อยลง

ทั้งในเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอน การใช้น้ำ การกำจัดของเสีย ตลอดจนการยกระดับความเข้มข้นในการพัฒนาโลกและสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนขึ้น เอ.เอส. วัตสัน ยังได้พัฒนากรอบแนวคิดนี้โดยมุ่งสร้างแรงบันดาลใจ

รวมถึงปลูกฝังวัฒนธรรมและแบบแผนการทำงานต่างๆ ขององค์กร ให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้นทั้งในด้านการออกแบบและการก่อสร้างร้านค้า ตลอดจนการดำเนินงานต่างๆ และวิธีการดูแลรักษาร้านด้วยวิธีต่างๆ ที่ช่วยให้โลกปลอดภัยยิ่งขึ้น

เอ.เอส. วัตสัน เปิดตัวแนวคิดร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม

เอ.เอส. วัตสัน กลุ่มร้านค้าร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยปัจจุบัน มีร้านค้าในเครือกว่า 16,400 แห่ง ภายใต้ 12 แบรนด์ค้าปลีกใน 29 ตลาดทั่วโลก และยังเป็นหนึ่งในกลุ่มร้านค้าปลีกที่มีการเติบโตเร็วที่สุด โดยมีอัตราการเปิดร้านใหม่ที่ 1,000 ร้านค้าต่อปี

และถึงแม้โลกยังต้องประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ยังคงเดินหน้าเปิดร้านค้าแห่งใหม่จำนวน 1600 แห่ง ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวดังนั้น การพิจารณาเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับเรา เพื่อการพัฒนาและก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน

คุณมาลิน่า ไหง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเอ.เอส. วัตสัน กรุ๊ป และประธานกรรมการบริหารเอ.เอส. วัตสัน (เอเชียและยุโรป) กล่าวว่า “กรอบแนวคิด Greener Stores Global Framework ของ เอ.เอส. วัตสัน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงของบริษัท ในการขับเคลื่อนสู่การพัฒนาด้านความยั่งยืนและก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น

ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ในการทำให้ร้านค้าทุกแห่งของเรา เป็นร้านค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่น้อยลงตลอดวงจรการดำเนินธุรกิจของเรา”

“กุญแจสำคัญของกรอบแนวคิดร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมนี้ คือ การสร้างแรงบันดาลใจพร้อมปลูกฝังวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในการดำเนินงานในแต่ละวันของร้าน เพื่อดึงดูดลูกค้าในการเข้ามาเลือกชมผลิตภัณฑ์และไลฟสไตล์ที่ยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของร้าน ในการใช้พลังงานและสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนการใช้วัสดุ บรรจุภัณฑ์ และวิธีกำจัดของเสียด้วยวิธีที่ใส่ใจต่อโลกมากขึ้น”

Superdrug ในปีเตอร์โบโร ถูกเลือกให้เป็นร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งแรกของ เอ.เอส. วัตสัน

คุณไหง กล่าวเพิ่มเติมว่า “การออกแบบร้านภายใต้แนวคิด Greener Stores Global Framework ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานต่างๆ รวมถึงมีการนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้มากขึ้น มีการสำรวจวิธีใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ การลดของเสีย การประหยัดน้ำ และการกำจัดของที่หมดอายุการใช้งาน เป็นต้น

นอกจากนี้ ในกระบวนการก่อสร้าง ยังมีการวางแผนและจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อกำหนดเป้าหมายร่วมกันในเรื่องการกำจัดของเสียและการรีไซเคิล ร่วมกับผู้รับเหมาในพื้นที่อีกด้วย”

ในอังกฤษ ได้มีการเปิดตัวร้าน Superdrug เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งแรกในเครือของ เอ.เอส. วัตสัน ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า Serpentine Green Shopping Centre ในเมืองปีเตอร์โบโร

ไฮไลท์สำคัญของร้านค้าแห่งนี้ คือ การออกแบบที่ส่งเสริมแนวคิดเพื่อความยั่งยืน ทั้งในกระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนการใช้ป้ายรีไซเคิลที่ทำมาจากเส้นด้ายรีไซเคิลและขวดพลาสติก การใช้แผ่นฝ้าเพดานที่ทำมาจากฉนวนใยหิน ดินเหนียว และแป้งจากพืชที่ย่อยสลายได้เองโดยทางชีวภาพ และยังเป็นวัสดุรีไซเคิล 100% อีกด้วย

ร้านค้าแห่งนี้ ยังมีคุณสมบัติเพื่อความยั่งยืนอีกหลายประการ เช่น การใช้ระบบปรับอากาศที่มีอัตราประสิทธิภาพระดับ AAA, การตั้งเป้าการจัดการขยะ 5% ในการฝังกลบ และการลดจำนวนการใช้หลอดไฟติดเพดาน LED แบบสร้างบรรยากาศ (LED mood lights) ซึ่งสามารถช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ 37% และทำให้ร้านค้าแห่งนี้สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 5,800 กิโลวัตต์ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1,200 กิโลกรัมต่อปี อีกด้วย

ปลูกฝังวัฒนธรรมการทำงานเพื่อความยั่งยืน

คุณไหง ยังได้กล่าวตอกย้ำความสำคัญของการใช้แนวทางที่ครอบคลุมทุกมิตินี้ว่า “เราไม่ได้เพียงแต่ใช้แนวคิด ร้านค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม ในการก่อสร้างร้านเท่านั้น แต่ยังมุ่งส่งเสริมวัฒนธรรมเพื่อความยั่งยืนทั้งภายในและภายนอกองค์กรของเราอีกด้วย

โดยการริเริ่มสร้างการมีส่วนร่วมและแรงบันดาลใจให้กับทั้งเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และคู่ค้าทางธุรกิจของเรา เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการสร้างโลกใบใหม่ที่งดงามและน่าอยู่ยิ่งขึ้น

การสร้างวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ไม่ใช่การกระทำเพียงครั้งเดียว หากแต่เป็นการทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านความยั่งยืน และความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมของบุคลากรและลูกค้าของเรา รวมถึงอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามโดยรวม

นอกจากนี้ การมอบสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพให้กับพนักงานและลูกค้า ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น เราจึงเชื่อมั่นว่า กรอบการทำงานนี้ จะนำมาซึ่งประโยชน์สำหรับทุกฝ่ายในท้ายที่สุด”

เอ.เอส. วัตสัน ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการเลือกใช้ส่วนผสมและวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อโลก มาตั้งแต่ปี 2557 และได้มีการสั่งห้ามการใช้ไมโครพลาสติกในเครื่องสำอางแบบล้างออกได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวต่างๆ

ซึ่งการสั่งห้ามนี้ ยังรวมไปถึงแบรนด์เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหมดที่จำหน่ายภายในร้านค้าในปี 2563 อีกทั้งยังได้ทำงานร่วมกับคู่ค้าทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Procter & Gamble, L’Oréal, Shiseido, Beiersdorf, GlaxoSmithKline, Johnson & Johnson, Kao, Reckitt และ Unilever เพื่อผลิตสินค้าที่เป็น Sustainable Choices ต่างๆ อีกมากมาย ทั้งที่จัดหน่ายภายในร้านและทางออนไลน์ทั่วเอเชีย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการของพวกเขา และยังได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือโลกและสิ่งแวดล้อม
อีกด้วย

ประสบการณ์การจับจ่ายที่หลากหลายสู่ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน

ในแต่ละปี เอ.เอส. วัตสัน ได้ให้บริการลูกค้าทั่วโลกราว 5.5 พันล้านราย ผ่านทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ (O+O) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องสร้างการมีส่วนร่วม สร้างแรงบันดาลใจ และส่งเสริมให้พวกเขาทำความดีและสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามต่อโลกใบนี้

ไม่เพียงแต่ความมุ่งมั่นในการพัฒนากลุ่มสินค้าเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Choices) เท่านั้น วัตสันยังได้ดำเนินโครงการต่างๆ อีกมากมาย เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้ามีวิถีชีวิตที่ดีบนพื้นฐานของความยั่งยืน อีกด้วย

ในเอเชีย วัตสันยังได้จัดแคมเปญรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วทั้งในระดับภูมิภาค เพื่อเป็นการร่วมรักษ์โลก ‘Go Green’ ไปกับลูกค้า โดยแคมเปญนี้ถูกจัดขึ้น ภายใต้ความร่วมมือกับคู่ค้าชั้นนำต่างๆ เช่น P&G และ L’Oréal ซึ่งส่งผลให้มีบรรจุภัณฑ์พลาสติกมากกว่า 1 ล้านชิ้น ถูกนำกลับมาแปรรูปใหม่ผ่านความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชนและโรงงานรีไซเคิลต่างๆ ในระดับท้องถิ่น

ในขณะเดียวกันที่ วัตสันฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ยังได้มีการเปิดตัว Refill Station ส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการนำบรรจุภัณฑ์ต่างๆกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงช่วยลดการใช้พลาสติก ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาโลกที่มีความยั่งยืนมากขึ้น

สำหรับวัตสัน ในไทย ได้มีการยกเลิกให้บริการถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งตั้งแต่ปี 2563 เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังได้เริ่มรณรงค์ส่งเสริมให้ลูกค้าและเหล่านักชอป ได้ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ก็เพื่อตอกย้ำ ความมุ่งมั่นของ เอ.เอส. วัตสันในการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค

ในยุโรป ร้าน Superdrug เป็นร้านค้าปลีกแห่งแรกในประเทศอังกฤษ ที่จำหน่ายยาแผงที่ลูกค้าสามารถนำแผงยาเปล่าไป รีไซเคิลต่อได้ ภายใต้แคมเปญที่มีชื่อว่า “Little Packs, Big Impact” ซึ่งแผงยาดังกล่าวมีจำหน่ายในร้านขายยากว่า 200 แห่ง

แคมเปญนี้ได้ส่งผลให้มีการนำบรรจุภัณฑ์ยา กว่า 4.8 ล้านแผง กลับมารีไซเคิลได้ ซึ่งคิดเป็นน้ำหนักมากกว่า 10,000 กก.

นอกจากนี้ ที่ร้าน The Perfume Shop ยังได้มีการออกแคมเปญให้ลูกค้าสามารถนำขวดน้ำหอมที่ใช้แล้วมารีไซเคิล โดยแต่ละขวดมีค่าเท่ากับการบริจาคเพื่อปลูกต้นไม้จำนวน 1 ต้น โดยตลอดแคมเปญมีเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ให้ได้จำนวน 1 ล้านต้น ภายในปี 2573

คุณไหง ยังได้สรุปทิ้งท้ายว่า “Greener Stores Global Framework ของ เอ.เอส. วัตสัน เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางร่วมกับลูกค้าของเราสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเรายังคงเดินหน้าดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อให้ร้านค้าของเราทั่วโลกอยู่บนเส้นทางของความยั่งยืนต่อไป

เราต้องการเป็นแบบอย่างในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับร้านค้าปลีกด้านสุขภาพและความงามอื่นๆ ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจให้ธุรกิจต่างๆ ได้ปฏิบัติตาม และสร้างร้านค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนรูปแบบการค้าปลีกให้มีความเป็นมิตรต่อโลกมากขึ้นต่อไป”