Onlinenewstime.com : โลกแห่งการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้คนไม่เพียงแค่ต้องการอยู่รอด พวกเขาต้องการที่จะเติบโต และพร้อมที่จะออกจากงานทันทีหากไม่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิต นำไปสู่ภาวะการขาดแคลนพนักงานที่มีทักษะเพิ่มขึ้น
นอกจากค่าจ้างที่เป็นธรรม และความมั่นคง สิ่งเหล่านี้ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่พนักงานคาดหวัง แต่ในยุคนี้ พนักงานมีความต้องการมากขึ้น ทั้งจากชีวิตการทำงานและจากนายจ้าง เช่น ความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งทางอารมณ์และทางร่างกาย คือ ความสำคัญอันดับต้น ๆ ของพนักงาน
ดังนั้นหลายองค์กร จึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ ‘ต้องรับฟัง ต้องคิดใหม่’ ตลอดจนต้องสร้างสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้ตรงใจ และตอบโจทย์ กับการเปลี่ยนแปลงที่ ‘คน’ ในยุคนี้ ไม่ได้เลือกทำงานกับองค์กรมีชื่อเสียงเท่านั้น แต่องค์กรนั้น ๆ จะต้องสร้างความสุขในที่ทำงาน และมอบสมดุลในการดำเนินชีวิตด้วย
นางสาวลิลลี่ งามตระกูลพานิช ผู้จัดการประจำประเทศไทย แมนพาวเวอร์กรุ๊ป เปิดเผยว่า “ปัจจุบันการเติบโตในที่ทำงานของพนักงาน คือ การได้รับอำนาจในการเติบโต การดูแลสภาวะจิตใจและความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกาย ในขณะเดียวกันพวกเขา ก็มุ่งมั่นที่จะค้นหาความหมายและเป้าหมายในการทำงาน เพื่อกำหนดและสร้างความสำเร็จให้กับตนเอง
ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจ ในหัวข้อ ความต้องการของพนักงานในยุคนี้ ที่ ‘แมนพาวเวอร์กรุ๊ป’ ได้ร่วมมือ ‘Thrive Global’ บริษัทเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชั้นนำระดับโลก เพื่อศึกษาและวิจัยกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย พนักงานหน้างาน องค์กร และคอลเซ็นเตอร์กว่า 5,000 คน
ตลอดจนผู้หางานใน 5 ประเทศ (ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส อิตาลี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) พบว่า 5 ปัจจัยหลักในการออกแบบงานในฝันของพนักงานในยุคนี้ ที่จะทำให้พนักงานรู้สึกถึงการเติบโตเจริญก้าวหน้า และมีสุขภาพจิตที่ดีในการทำงาน ได้แก่
1. การสร้างความยืดหยุ่นสำหรับทุกคน (PUSHING THE FLEXIBILITY FRONTIER) ชีวิตการทำงานเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา พนักงานต้องการทางเลือก และมีอิสระมากขึ้น การทำงานแบบไม่ต้องเข้าออฟฟิศ (Remote work) หรือแบบไฮบริด คือผสมทั้งเข้าและไม่เข้าออฟฟิศ
โดยจากผลสำรวจพบว่า 93% ของพนักงานทั้งหมดมองว่าความยืดหยุ่นมีความสำคัญต่อชีวิตการทำงานของพวกเขา 64% ต้องการเปลี่ยนไปทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ (ปริมาณงานเยอะขึ้น ชั่วโมงอัดแน่น ทำงานหนักเต็มที่ ได้ค่าจ้างเต็ม) 45% ต้องการสามารถกำหนดเวลาเข้างานและเลิกงานได้เอง
35% ต้องการเลือกสถานที่ทำงาน (ที่ทำงานหรือที่บ้าน) ตามความต้องการในแต่ละวัน 18% หรือเกือบ 1 ใน 5 ตัวอย่างสำรวจ ต้องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์แบบปริมาณงานเท่าเดิม โดยยอมถูกลดค่าจ้าง แลกกับความสมดุลระหว่างชีวิต-งานที่ดีขึ้น
2. การเปลี่ยนบทบาทผู้นำในยุคใหม่ (REWRITING THE RULES OF LEADERSHIP) ความคาดหวังของพนักงานเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากงาน จากผู้นำ แบบสำรวจนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
โดยรายงานระบุว่า พนักงานต้องการทำงานกับคนที่เข้ากันได้และไว้วางใจ (79%) มีหัวหน้าที่พร้อมคอยสนับสนุน (74%) และผู้นำที่เชื่อถือได้ (71%) หลายคนต้องการค้นหาความหมายของงานที่ตัวเองทำ (70%) ขณะที่ บางคนอยากทำงานที่มีส่วนช่วยสังคมในเชิงบวก (64%) ทั้งนี้ ผู้นำควรเป็นผู้เริ่มต้นสร้างวัฒนธรรมองค์กร และเป็นผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับพนักงาน เพื่อประสิทธิภาพการทำงานในอนาคต
3. ความเจริญรุ่งเรือง และวิธีการก้าวสู่ความสำเร็จ (THRIVING – THE HOW TO) การระบาดของโควิด-19 ครั้งใหญ่นี้ ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงานของผู้หญิงเป็นอย่างมาก ซึ่งพบว่าผู้หญิงมีภาวะหมดไฟในการทำงานสูงกว่าผู้ชาย
หลายองค์กรสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ มีการเสนอโอกาสที่ดีกว่าให้กับกลุ่มผู้มีความสามารถที่กว้างขึ้นโดยไม่จำกัดเพศ และบริษัทที่มีผู้หญิงมีบทบาทเป็นผู้นำมากขึ้นก็มีผลงานดีขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ความต้องการของผู้หญิง และผู้ชายก็ยังมีความแตกต่างกัน โดย 5 อันดับแรกที่ผู้หญิงและผู้ชายต้องการจากที่ทำงานมากที่สุด คือ
1. การทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่พวกเขาไว้วางใจ (ผู้หญิง 82% / ผู้ชาย 77%) 2. มีหัวหน้าที่พร้อมช่วยเหลือ (ผู้หญิง 77% / ผู้ชาย 71%) 3. การได้ทำงานที่มีคุณค่า (ผู้หญิง 73% / ผู้ชาย 69%) 4. การทำงานให้กับองค์กรที่มีค่านิยมหรือวิสัยทัศน์ตรงกับตน (ผู้หญิง 69% / ผู้ชาย 65%) และ 5. การดูแลสุขภาพจิต (ผู้หญิง 60% / ผู้ชาย 54%)
4. การสร้างอนาคตที่เป็นมิตรกับครอบครัว (FORGING A FAMILY FRIENDLY FUTURE) ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากประสบปัญหาการงาน การเรียน และการใช้ชีวิตที่บ้าน หลายคนได้ประเมินชีวิตและลำดับความสำคัญของตนเองใหม่อีกครั้ง และต้องการการเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่พนักงานที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลลูกเล็ก หรือพนักงานที่มีภาระต้องดูแลญาติผู้สูงอายุ (พวกเขามักจะออกจากงานมากกว่าพนักงานอื่นทั่วไป) ต้องการจากนายจ้างมากขึ้น คือ โอกาสก้าวหน้าในอาชีพ (75%) งานที่มีความหมาย (74%) การสนับสนุนให้มีสุขภาพแข็งแรง (56%) การสนับสนุนการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น (54%) ต้องการตัวเลือกอาหารเพื่อสุขภาพ
และปัจจัยสำคัญในการเลือกสถานที่ทำงานของกลุ่มพนักงานในกลุ่มนี้ คือ ความยืดหยุ่น และการเลือกเวลาเริ่มและเลิกงาน ซึ่งองค์กรจำเป็นต้องปรับสมดุลการทำงานสำหรับพนักงานกลุ่มนี้ โดยการสนับสนุน แก่ผู้ปกครองที่ต้องการในการจัดการเวลาที่ไม่แน่นอนด้วยความเครียดน้อยลง การสร้างทางเลือกที่สนับสนุนการจ้างงานที่ยั่งยืน หล่อเลี้ยงศักยภาพ การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด จะได้รับทราบปัญหา ให้ความช่วยเหลือ เพื่อรักษาพนักงานที่มีทักษะไว้
5. การต่อสู้กับความเหนื่อยหน่าย และการสร้างสุขภาพจิตที่ดี (FIGHTING BURNOUT, BUILDING MENTAL FITNESS) องค์กรต้องตระหนักถึงความสำคัญ ของการป้องกันภาวะหมดไฟในการทำงาน ควบคู่กับการส่งเสริม และสร้างสุขภาพจิตที่ดี ตลอดจนให้โอกาสในการสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ
เน้นการป้องกันและการรักษาความเครียดของพนักงาน ซึ่งปัจจุบันพนักงานมีความเครียด(38%) ความเครียดก่อนเกิดโรคระบาด (32%) และมีความเครียดในช่วงที่ระบาดสูงสุดอยู่ที่ (42%) ทั้งนี้ พนักงาน 1 ใน 4 (25%) ต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันภาวะหมดไฟในการทำงาน
โดยเฉพาะพนักงานวัยหนุ่มสาวที่กำลังประสบกับความรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นถึง 42% อย่างไรก็ตาม พวกเขามีแนวโน้มที่จะเปิดใจ และหารือเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่ดีในที่ทำงาน
คุณลิลลี่ กล่าวในท้ายที่สุดว่า “การทำงานในโลกยุคปัจจุบัน และกฎเกณฑ์ทางธุรกิจเปลี่ยนไป องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิด และปรับพฤติกรรมภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความยืดหยุ่น บทบาทใหม่ของผู้นำ ความเจริญรุ่งเรือง การสร้างอนาคตที่เป็นมิตรกับครอบครัว การต่อสู้กับภาวะหมดไฟ สร้างสุขภาพจิตที่ดี
เพื่อให้สามารถบริหาร จัดระเบียบ กระตุ้น จัดการสร้างและปรับสมดุลระหว่างองค์กร งาน และพนักงานได้อย่างลงตัว และสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานให้ได้ สิ่งเหล่านี้จะดึงดูด หล่อเลี้ยง และรักษาพนักงานที่มีทักษะความสามารถที่ดีที่สุดไว้ และจะสามารถพิชิตชัยชนะในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูงที่สุดได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้หากบริษัทใดกำลังมองหาพนักงานที่มีทักษะ และผู้ช่วยในการการสร้างทางเลือก พัฒนา และรักษาบุคลกรในองค์กรอย่างยั่งยืน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://go.manpowergroup.com/whatworkerswant และ ท่านใดกำลังมองหางานใหม่ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02 171 2399 หรือ อีเมล recruitmentthailand@manpower.co.th หรือ https://www.manpowerthailand.com/th และทุกแพลตฟอร์มของโซเชียลมีเดีย