www.onlinenewstime.com : จากการเปิดเผยถึงแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ในไตรมาสที่ 2/2562 ที่ผ่านมาของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ระบุว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 100.07 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 8.89 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 2.64
อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลง จากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ การผลิตน้ำตาล การผลิตยานยนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรม ที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2561 ได้แก่ การผลิตน้ำตาล การผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต ในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 อัตราการใช้กำลังการผลิต อยู่ที่ระดับร้อยละ 65.58 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 71.26) และลดลงจากไตรมาสเดียวกัน ของปี 2561 (ร้อยละ 68.16) อุตสาหกรรม ที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิต ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ การผลิตน้ำตาล การผลิตยานยนต์ และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม เป็นต้น
ทั้งนี้ ยังระบุอีกว่าแนวโน้มไตรมาสที่ 3/2562 อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า คาดการณ์ว่า การผลิตปรับลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์กระป๋องโลหะ
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสนับสนุน จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะมีการผลิต และการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลง ร้อยละ 3.1 และ 7.9 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการ HDD และความต้องการของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก ที่ชะลอตัว
ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ ประมาณการในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 520,000 คัน โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 45-50 และการผลิตเพื่อส่งออกร้อยละ 50-55 รถจักรยานยนต์ ประมาณการในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 จะมีการผลิตรถจักรยานยนต์ประมาณ 480,000 คัน โดยแบ่งเป็นการผลิต เพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 80-85 และการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณร้อยละ 15-20
สุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย มีมุมมองและความคิดเห็นเกี่ยวกับการสำรวจดังกล่าวว่า แนวโน้มและทิศทางอุตสาหกรรมการผลิต มีอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ที่มีผลสืบเนื่องจากภาวะเศรฐกิจโลกซบเซา
ทั้งนี้ จากรายงาน “โรงงานแห่งอนาคต” ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ซึ่งวิเคราะห์ตลาดแรงงาน ในอุตสาหกรรมการผลิต กล่าวถึงปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม ซึ่งทางด้านภาคการผลิตจะเป็นอุตสาหกรรมแรก ของการเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่ของขนาดและความรวดเร็ว และการเพิ่มขีดความสามารถในแข่งขันทางธุรกิจ
ตั้งแต่ผ่านยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมจากรุ่นหนึ่งปี ค.ศ. 1970 ถึง 2005 เป็นยุคที่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สมัยใหม่ได้รับการพัฒนา ให้เป็นระบบอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงปลายของรุ่นที่สอง ที่มีการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และมีการนำข้อมูลมาใช้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น และในปีหน้าภาคการผลิต จะเริ่มก้าวเข้าสู่รุ่นที่สาม ซึ่งเครื่องจักรจะสามารถทำงานด้วยตนเอง รวมถึงการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต
อย่างไรก็ตาม แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ในฐานะที่ปรึกษาตลาดแรงงานเชิงนวัตกรรม เห็นว่าแรงงานในกลุ่มนี้ จะต้องมีการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะ การฝึกอบรมการทำงาน ซึ่งจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรองรับกับการใช้เทคโนโลยีใหม่
นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถช่วยบรรเทาความกังวลของพนักงาน เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ได้ โดยการส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ แม้เทคโนโลยีสมัยใหม่ จะทำให้งานบางส่วนปรับลดไป แต่บุคลากรยังสามารถพัฒนาทักษะของตน เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ จากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ได้
ทางด้านบริษัทและองค์กรต่าง ๆ อาจคิดว่าจะสามารถบริหารจัดการกับความเปลี่ยนแปลง ด้วยการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ และกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล แต่รุ่นต่อไปล้ำหน้ากว่าระบบอัตโนมัติ ด้วยการใช้ระบบที่เรียนรู้ด้วยตนเองและคาดการณ์ล่วงหน้าได้
เครื่องจักรไม่ได้ทำงานทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังสามารถคิดเองได้โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนฯ AI ซึ่งปรากฏการณ์นี้ จะส่งผลกระทบต่อกำลังคน หรือแรงงานอย่างชัดเจน ดังนั้น การฝึกอบรมจะช่วยเพิ่มพูนทักษะ ที่จะช่วยให้บุคลากรสามารถทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
จากรายงาน “มนุษย์ที่เป็นที่ต้องการ” ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ระบุว่า ขณะที่พนักงานทั้งหมด ต้องเพิ่มพูนทักษะ สำหรับพนักงานร้อยละ 35 ของทั้งหมด จะเป็นการฝึกอบรมระยะสั้นไม่เกินหกเดือน สำหรับการพัฒนาศักยภาพให้เพิ่มสูงขึ้น และอีกร้อยละ 9 ต้องการการฝึกอบรมเป็นเวลา 6 ถึง 12 เดือน ในขณะที่อีกร้อยละ 10 ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งปี ในการเพิ่มพูนทักษะเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขึ้น พบข้อสรุปว่า การเพิ่มพูนทักษะในระยะสั้นและเน้นเฉพาะจุดเป็นระยะเวลา 6 เดือนหรือน้อยกว่า เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบดิจิทัลไม่ได้ทำให้งานหมดไป แต่จะมีผลกระทบอย่างมหาศาล ต่อตำแหน่งงานส่วนใหญ่ แม้ว่าแนวโน้มและทิศทางของอุตสาหกรรมการผลิตลดลง แต่แรงงาน ยังคงต้องพัฒนาทักษะต่อไป
การเพิ่มพูนทักษะจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้ แต่หากมีทักษะที่เหมาะสม วัฒนธรรมการเรียนรู้ และการมุ่งเน้นช่วยเหลือบุคลากร ให้พัฒนาอาชีพของตน สำหรับตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการ เราจะพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น