Onlinenewstime.com : โควิด-19 ส่งผลบวก..ดันธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของ โตขึ้นแบบก้าวกระโดด กว่า 200% ปัจจัยสำคัญมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมสั่งสินค้าออนไลน์ อินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้ง่าย ระบบจ่ายเงินสะดวก มั่นใจธุรกิจไปต่อได้ยาวๆ หากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น ทำโปรโมชันส่งเสริมการขายต่อเนื่อง และพัฒนาการให้บริการโดนใจลูกค้า
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจดาวเด่นที่น่าสนใจ จากคลังข้อมูลธุรกิจของกรมฯ พบว่า ธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของเป็นธุรกิจดาวเด่นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก
เนื่องจากตัวเลขการจัดตั้งธุรกิจใหม่ของปี 2564 (560 ราย) เพิ่มขึ้นจากปี 2563 (184 ราย) แบบก้าวกระโดด กว่า 200% (เพิ่มขึ้น 376 ราย) และเมื่อพิจารณาจากมูลค่าทางบัญชี (สินทรัพย์รวม – หนี้สินรวม) ปี 2563 มีมูลค่าสูงถึง 10,903.02 ล้านบาท
คิดเป็นการเติบโตทั้งสิ้น 88.28% (ปี 2562 มีมูลค่าทางบัญชี 5,790.91 ล้านบาท และมูลค่าทางบัญชีปี 2564 อยู่ระหว่างธุรกิจนำส่งข้อมูลตามกฎหมาย)
ขณะที่ผลประกอบการของธุรกิจ (รายได้รวม) ปี 2561 – 2563 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2561 รายได้รวม 20,623.70 ล้านบาท ปี 2562 รายได้รวม 32,202.68 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 56.14%) และ ปี 2563 รายได้รวม 44,800.50 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 39.12%)”
“นอกจากผู้ประกอบการไทยที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของเป็นอันดับ 1 ด้วยเงินลงทุน 4,702.58 ล้านบาท (95.47%) แล้ว ชาวต่างชาติยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนด้วยเช่นกัน
โดยนักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนสูงสุด ด้วยเงินลงทุน 65.70 ล้านบาท (1.33%) ตามมาด้วย ฮ่องกง 18.41 ล้านบาท (0.37%) เยอรมัน 13.77 ล้านบาท (0.28%) สัญชาติอื่นๆ 125.12 ล้านบาท (2.55%)”
“ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของเติบโตแบบก้าวกระโดด มาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยนิยมสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เป็นผลมาจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ทำได้ง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ระบบขนส่งมีความสะดวกรวดเร็ว
อีกทั้งธุรกิจฯ ยังคงดึงดูดผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำโปรโมชันต่างๆ เพื่อสร้างและขยายฐานลูกค้า ระบบการจ่ายเงินผ่านช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย และมีความสะดวก
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่ามาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของภาครัฐจะผ่อนคลายลง แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยังคงป้องกันตัวเองด้วยการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภค ยังคงพึ่งพาการใช้งานการขนส่งแบบเดลิเวอรี ทำให้ธุรกิจมีมูลค่าการเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา”
“และจากการที่มีผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้าสู่ธุรกิจฯ เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจึงมีตัวเลือกที่หลากหลายในการเลือกใช้บริการ ทำให้อัตราการแข่งขันของผู้ประกอบการมีสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งการแข่งขันด้านราคา การขยายสาขาเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า การยกระดับคุณภาพการให้บริการ ทั้งความรวดเร็วในการส่งสินค้า และการรักษาสินค้าไม่ให้เกิดการสูญหายหรือเสียหายจากการขนส่งเพื่อรักษาฐานลูกค้า
อีกทั้ง ยังพบปัญหาการแย่งชิงพนักงานขนส่งสินค้า ยิ่งในช่วงนี้ที่พนักงานส่วนหนึ่งติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ธุรกิจ จำเป็นต้องคำนึงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ด้วย จากปัจจัยที่กล่าวมา ส่งผลให้ธุรกิจมีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ประสบภาวะขาดทุนในระยะหนึ่ง แต่จะทำให้ธุรกิจ สามารถสร้างความแข็งแกร่งผ่านฐานลูกค้าที่เชื่อมั่นในธุรกิจที่มากขึ้น ส่งผลดีและผลกำไรที่เป็นบวกในระยะยาว”
“ธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของ ยังคงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจเข้ามาลงทุน จากปริมาณความต้องการขนส่งสินค้าที่มีเพิ่มขึ้น และจากรายได้รวมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มั่นใจในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์และใช้บริการขนส่งสินค้ามากขึ้น จึงเป็นโอกาสของธุรกิจฯ ที่จะเติบโตได้ดีในอนาคต”รมช.พณ.กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2565) มีธุรกิจรับส่งเอกสารและสิ่งของที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย จำนวน 1,324 ราย คิดเป็น 0.16% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ และมีมูลค่าทุนรวม 4,925.58 ล้านบาท คิดเป็น 0.02% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย
ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัด จำนวน 837 ราย (63.22%) มูลค่าทุน 890.00 ล้านบาท เป็นธุรกิจที่มี *ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,104 ราย *ทุนฯ 1.01 – 5.00 ล้านบาท จำนวน 189 ราย
*ทุนฯ 5.01 – 100 ล้านบาท จำนวน 27 ราย *มากกว่า 100 ล้าน จำนวน 4 ราย
พบว่าเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) มากที่สุด 1,280 ราย (96.68%) ธุรกิจขนาดกลาง (M) 29 ราย (2.19%) และธุรกิจขนาดใหญ่ (L) 15 ราย (1.13%)
ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 449 ราย (33.91%) ทุนจดทะเบียนรวม 3,783.88 ล้านบาท (76.82%) อันดับ 2 ภาคกลาง 276 ราย (20.84%) อันดับ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 228 ราย (17.22%) อันดับ 4 ภาคใต้ 142 ราย (10.73%) อันดับ 5 ภาคเหนือ 115 ราย (8.69%) อันดับ 6 ภาคตะวันออก 104 ราย (7.85%) และลำดับ 7 ภาคตะวันตก 10 ราย (0.76%)”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ส่วนประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ กองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0 2547 4376 สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th