Onlinenewstime.com : พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน และเมื่อวันที่ 26-29 ส.ค. ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีฝนตกหนักมากกว่า 150 มิลลิเมตรในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพตะวันออก มีฝนตกหนักสูงสุดถึง 189 มิลลิเมตร ในพื้นที่เขตหนองจอกและลาดกระบัง ซึ่งในการแก้ไขปัญหาได้มีดำเนินการพร่องน้ำในคลอง เปิดประตูระบายน้ำ จัดเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมพร้อมเจ้าหน้าที่เร่งระบายน้ำในจุดที่มีน้ำท่วมขัง เป็นต้น
จากสถิติฝนสะสมวันที่ 29 ส.ค. ของปี 64 พบว่า มีฝนถึง 1,176 มิลลิเมตร สูงกว่า ปี 63 ที่มีฝน 950 มิลลิเมตร อีกทั้งสูงกว่าค่าเฉลี่ยสะสม 30 ปี ของวันเดียวกัน (29 ส.ค.) ที่มีฝน 1,026.4 มิลลิเมตร
อย่างไรก็ตามพื้นที่กรุงเทพฯ จะยังคงมีฝนตกต่อเนื่องโดยในช่วงวันที่ 30 ส.ค. – 5 ก.ย. 64 กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์อากาศว่าพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีฝนตกหนัก 60 – 70% ของพื้นที่ ซึ่งกรุงเทพมหานคร ได้เตรียมความพร้อมรับมือและเฝ้าระวังน้ำท่วมในพื้นที่อย่างต่อเนื่องต่อไป
ซึ่งอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบระบายน้ำหลักในพื้นที่ ทั้งนี้ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้มีการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่ห่างไกลจากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ลงสู่ทะเลได้โดยเร็ว
ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีอุโมงค์ระบายน้ำแล้ว 4 แห่ง ความยาวรวม 19.37 กิโลเมตร มีประสิทธิภาพการระบายน้ำรวม 195 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ครอบคลุมพื้นที่ 135.5 ตารางกิโลเมตร อยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 แห่ง
และหากกรุงเทพมหานคร ดำเนินการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่อีก 4 แห่ง ครบตามแผนงานที่จะดำเนินการในปี 2563 และ 2564 กรุงเทพมหานคร จะมีอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ รวมทั้งสิ้น 9 แห่ง ประสิทธิภาพการระบายน้ำรวม 425 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ครอบคลุมพื้นที่รวม 478.5 ตารางกิโลเมตร
ซึ่งจะช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง ทั้งจากน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ และน้ำหลากจากพื้นที่นอกคันป้องกันครอบคลุมพื้นที่สำคัญของกรุงเทพมหานครได้เกือบทั้งหมด
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่นั้น กรุงเทพมหานครไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งในปี 2564 จุดเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่อยู่ในความดูแลของสำนักการระบายน้ำ ลดลงจากปี 2563 โดยมีจุดเสี่ยงน้ำท่วม 12 จุด และจุดเฝ้าระวังน้ำท่วม 47 จุด
โดยได้กำชับให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมีการแจ้งเตือนประชาชนเป็นระยะ ตั้งแต่ก่อนฝนตก ระหว่างฝนตก และหลังฝนตก เพื่อให้ประชาชน ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือฝน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ฝนตกหนัก อาจจะต้องมีการเคลื่อนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงป้องกันสิ่งของได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ได้กำชับให้เร่งระบายน้ำในจุดเสี่ยงน้ำท่วมให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งหากการระบายน้ำเข้าสู่ระบบระบายน้ำหลักไม่สามารถทำได้เต็มกำลังก็ให้เร่งระบายน้ำเข้าระบบระบายน้ำรองหรือจุดย่อยแทนเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้เร็วขึ้น ช่วยลดผลกระทบให้ประชาชน
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในจุดเสี่ยงและพื้นที่ต่างๆ ให้ได้รวดเร็ว กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการระบายน้ำได้จัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยในพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการดำเนินงานของแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาภัยจากอุทกภัยกรุงเทพมหานคร ประจำปี 2563 (ถือปฏิบัติปี 2564) ของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดทำตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2558
โดยแนวทางดำเนินการของแผนเผชิญเหตุอุทกภัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 1. การประเมินความเสี่ยง จุดเสี่ยง และลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งจากน้ำหลากและฝนตกหนัก พร้อมแนวทางลดผลกระทบ 2. ข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม และบัญชีศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับการอพยพ 3. ข้อมูลการเตรียมความพร้อมของระบบป้องกันน้ำท่วม ระบบระบายน้ำ และศักยภาพในการแก้ไขสถานการณ์ 4. ข้อมูลบุคลากรและอุปกรณ์สนับสนุนการเผชิญเหตุอุทกภัย 5. ACTION PLAN สำหรับเหตุที่จะเกิดขึ้นในกรณีต่างๆ ตามระดับความรุนแรง 6. แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เสี่ยงในถนนสายหลักและถนนสายรอง 7. การสื่อสาร แจ้งเตือน ประชาสัมพันธ์ และประสานงาน ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัย ซึ่งในการดำเนินการตามแผนดังกล่าวจะมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น