Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

กรมพัฒน์ฯ เผยการจดทะเบียนธุรกิจเดือนต.ค.63 ภาคบริการ มีมากที่สุด ธุรกิจผลิตสิ่งของด้านสุขอนามัยจากยาง โต 5 เท่า

dbd oct2020

Onlinenewstime.com : นางโสรดา เลิศอาภาจิตร์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แถลงข่าวการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนตุลาคม 2563 

เมื่อวิเคราะห์ถึงการจัดตั้งธุรกิจรายภาค คือ การผลิต ค้าส่ง/ค้าปลีก และบริการ ในเดือนตุลาคม 2563 ธุรกิจในภาคบริการ มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจมากที่สุด จำนวน 2,763 ราย รองลงมา คือ ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก 1,891 ราย และ ภาคการผลิต 742 ราย คิดเป็น 51% 35% และ 14% ตามลำดับ

ภาคธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนจดทะเบียน จัดตั้งมากที่สุดในเดือนตุลาคม 2563 คือ ภาคการผลิต มีจำนวนการจัดตั้ง 742 ราย เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2562

โดยธุรกิจ ผลิตสิ่งของเครื่องใช้ด้านสุขอนามัยหรือเภสัชกรรมที่ทำจากยาง (เช่น ถุงมือยาง ถุงมือชนิดอื่นๆ ถุงมือทางการแพทย์) เป็นธุรกิจในภาคการผลิต ที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนจดทะเบียนจัดตั้งมากที่สุด

มีการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งใหม่ 5 เท่า และมูลค่าทุนจดทะเบียน เติบโต 125 เท่า เมื่อเทียบกับ ตุลาคม 2562 ธุรกิจนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี และนนทบุรี

ส่วนในด้านผลการจดทะเบียนธุรกิจนั้น มีรายละเอียด ดังนี้   

ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนตุลาคม 2563 

– จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่  มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศในเดือนตุลาคม 2563 จำนวน 5,396 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 43,746 ล้านบาท 

– ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน  โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,013 ราย คิดเป็น 74.37% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,301 ราย คิดเป็น 24.11% 

ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 71 ราย คิดเป็น 1.32% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 11 ราย คิดเป็น 0.20% ตามลำดับ      

– ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 504 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 262 ราย คิดเป็น 5% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจบริการด้านอาหารในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 164 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ 

นางโสรดา เลิศอาภาจิตร์
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนตุลาคม 2563

– จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนตุลาคม 2563มีจำนวน 2,057 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 7,788 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา   

 ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 159 ราย คิดเป็น 8% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 110 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 64 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ  

-ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน  โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 1,382 ราย คิดเป็น 67.15% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5  ล้านบาท จำนวน 563 ราย คิดเป็น 27.36% 

ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 102 ราย คิดเป็น 4.96% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 11 ราย คิดเป็น 0.53% ตามลำดับ 

ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนตุลาคม 2563

 ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น  (ณ วันที่ 31 ต.ค. 63) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 770,087 ราย  มูลค่าทุน 18.63 ล้านล้านบาท

จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 187,327 ราย คิดเป็น 24.32% บริษัทจำกัด จำนวน 581,481 ราย คิดเป็น 75.51% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,279 ราย คิดเป็น 0.17% ตามลำดับ 

– ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน  ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 454,465 ราย คิดเป็น 59.02% รวมมูลค่าทุน 0.40 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.15% 

รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 227,573 ราย คิดเป็น 29.55% รวมมูลค่าทุน 0.75 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4.03% 

ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 72,076 ราย คิดเป็น 9.36% รวมมูลค่าทุน 1.97 ล้านล้านบาท คิดเป็น 10.57%  

และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 15,973 ราย คิดเป็น 2.07% รวมมูลค่าทุน 15.51 ล้านล้านบาท คิดเป็น 83.25% ตามลำดับ

การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว 

– เดือนตุลาคม 2563  มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 55 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 16 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 39 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 8,503 ล้านบาท  

– นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ญี่ปุ่น จำนวน 16 ราย เงินลงทุน 3,048 ล้านบาท รองลงมาคือสิงคโปร์ จำนวน 8 ราย เงินลงทุน 750 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา จำนวน 8 ราย เงินลงทุน 52 ล้านบาท 

Exit mobile version