Onlinenewstime.com : นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 37 ที่จังหวัดลำปาง ภายใต้หัวข้อทำได้ทำจริง
ท่ามกลางความสนใจของสมาชิกหอการค้ าและสมาชิกสภาหอการค้า โดยกล่าวว่ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การบริหารจัดการ ต้องทำแบบในภาวะวิกฤต จึงเป็นสาเหตุที่ได้ตั้ง คกก ร่วมรัฐ เอกชน ด้านการพาณิชย์ (กรอ พณ) และมีการจัดตั้งวอร์รูมขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาที่รุมเร้าประเทศอยู่ในขณะนี้ โดยได้เร่งแก้ไขปัญหาสำคัญ ดังนี้
- เศรษฐกิจฐานราก
- การเร่งรัดการส่งออกและการค้าชายแดน
- การดูแลสินค้าและบริการด้านราคา และคุ้มครองผู้ประกอบการและผู้บริโภค
- การเร่งรัดการจัดทำข้อตกลงทางการค้า ทั้งพหุภาคี และทวิภาคี
- การยกระดับการยากง่ายในการทำธุรกิจ
- การส่งเสริมธุรกิจบริการ
ด้านเศรษฐกิจฐานราก มีนโยบายประกันรายได้ มีความคืบหน้าเป็นอย่างยิ่ง ถึงวันนี้ทำเสร็จแล้ว 4 สินค้า ในเวลาไม่ถึงสี่เดือน ได้แก่ ข้าว ยาง ปาล์ม และมัน ที่จะมีการเริ่มการโอนเงินในวันที่ 1 มค นี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก สำหรับข้าวโพด จะประกันรายได้ที่ราคา 8.50 บาทต่อกิโล ครัวเรือนไม่เกิน 30 ไร่ ซึ่งจะเริ่มจ่ายเงินส่วนต่างรอบแรกในวันที่ 20 ธค ที่จะถึงนี้ จะทำให้มาตรการประกันรายได้ สามารถทำได้เสร็จสิ้นครบทุกห้าสินค้าภายในปีนี้
การส่งเสริมการส่งออก เราจะไม่ทำงานตามลำพัง โดยภาคเอกชนจะเป็นทัพหน้า กระทรวงฯจะเป็นทัพหนุน และทูตพาณิชย์จะต้องเป็นเซลล์แมนประเทศ ขายสินค้าได้ด้วยตัวเอง ผู้บริหารกระทรวงทุกคนต้องทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนประเทศด้วย โดยนายจุรินทร์ได้เริ่มเดินทางไปขายสินค้าในต่างประเทศ ทั้ง จีน อินเดีย ตุรกี เยอรมนี และจะมีตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ด้วย
ที่สหรัฐฯมีตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ที่ใหญ่โต และมีคนไทยเก่งจำนวนมากมาย ที่พร้อมกลับมาประเทศมาพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของประเทศ เพื่อส่งเสริมธุรกิจบริการต่อไป และจะเร่งการขยายเวลาการเปิดด่านการค้าชายแดน รวมถึงการเปิดการใช้สะพานมิตรภาพไทย เมียนมาที่แม่สอด ในวันที่ 30 ตค ที่ผ่านมา ตลอดจนเร่งรัดการใช้ Asean Single Window กับลาว ซึ่งจะต้องเร่งรัดการเปิดด่านเพิ่มเติม เช่น ด่านกิ่วผาวอก
นายจุรินทร์ กล่าวเสริมเรื่องการดูแลราคาสินค้า จัดการดูแลและควบคุมราคายา และค่าบริการทางการแพทย์ ยังมีการจัด New Year Grand Sale ลดราคาสินค้าถึง 70% ที่หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย
เรื่องการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ผลักดัน RCEP ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีตลาดการค้าใหญ่ขึ้น มีประชากรครึ่งโลก สามารถเจรจาเพิ่มอีก 13 ข้อบท จนครบ 20 ข้อบท ติดแค่อินเดียที่ยังไม่เข้าร่วม และตั้งเป้าว่าปีหน้า ว่าจะสามารถลงนามที่เวียดนาม และการเร่งเจรจาการค้าแบบทวิภาคี
การยกระดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ โดยตั้งเป้า ลดขั้นตอนการจดทะเบียนธุรกิจ จาก 5 ขั้นตอน 4.5 วัน เป็น 3 ขั้นตอน 2.5 วันในปีหน้า จะทำให้ภาคเอกชนสามารถมาที่กระทรวงพาณิชย์ที่เดียว ทำเสร็จสิ้นครบทั้ง 3 ขั้นตอน
ภารกิจในอนาคต
จะเร่งรัดการส่งออกต่อไป โดยการเป็นเซลล์แมนประเทศ ไม่ใช่แค่เพียงไปลงนาม MOU หรือสัญญาซื้อขายอย่างเดียว แต่จะเร่งรัดการส่งมอบสินค้าจริง ตั้งเป้ากลางเดือน ธ.ค. นี้เป็นต้นไป จะต้องขนยางส่งออกต่างประเทศให้ได้ โดยจะไปเป็นสักขีพยานการส่งออกยางที่ท่าเรือด้วยตนเอง
การเจรจาการค้าทวิภาคี FTA Thai- EU Thai – UK ต้องเกิดขึ้น และการเจรจาการค้าเสรี กับกลุ่มประเทศยูเรเซียและรัสเซีย ยกระดับการทำ FTA ของอาเซียน และเร่งรัด FTA ไทย บังกลาเทศ ไทย ศรีลังกา และไทย ตุรกี โดยเฉพาะ FTA ไทย ตุรกี จะต้องเสร็จภายในปีหน้าให้ได้
การเจาะตลาดประเทศใหญ่ๆ ต้องเจาะเป็นรายรัฐ หรือรายมณฑล และจะศึกษาความเป็นไปได้ ในการทำ FTA รายมณฑลกับจีนหรืออินเดีย รวมไปถึงการส่งเสริมและสร้างความตระหนัก ในความสำคัญของประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในการกีดกันทางการค้า ถึงขนาดมีการประชุมแบบเป็นทางการของ IMF และ World Bank
นายจุรินทร์ กล่าวสรุปว่า ” สุดท้ายขอขอบคุณสภาหอการค้า และหอการค้าทุกจังหวัด ที่ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง ในการผลักดันการค้าการลงทุน เพื่อให่เศรษฐกิจไทยฝันฝ่าวิกฤตทุกอย่างไปได้”