Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

ดัชนีความเครียดคนไทยเพิ่มขึ้นทุกเพศทุกวัย เรื่องเศรษฐกิจอันดับ 1

สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอยูโพล) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง ดัชนีความเครียดของคนไทยในกรุงเทพฯ

 

กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ จำนวนทั้งสิ้น 1,090 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1-31มกราคม 2559 ที่ผ่านมา พบว่าตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 56.92 เป็นหญิง และร้อยละ 43.08  เป็นชาย

เมื่อจำแนกออกเป็น เจเนอเรชั่น พบว่า

ร้อยละ 22.40 เป็นเจเนอเรชั่น B (ตัวอย่างที่มีอายุ 51-69 ปี)

ร้อยละ 29.03 เป็นเจเนอเรชั่น X (ตัวอย่างที่มีอายุ 36-50 ปี)

ร้อยละ 27.37 เป็นเจเนอเรชั่น Y (ตัวอย่างที่มีอายุ 25-36 ปี)

ร้อยละ 12.90 เป็นเจเนอเรชั่น M (ตัวอย่างที่มีอายุ 19-24 ปี) และ

ร้อยละ 8.29 เป็นเจเนอเรชั่น Z (ตัวอย่างที่มีอายุ 15-18 ปี)

 

ด้านสถานภาพสมรส พบว่า ตัวอย่างครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 49.65 สมรสแล้ว ร้อยละ 43.14 เป็นโสด และร้อยละ 7.21 เป็นหม้าย/หย่า/แยกกันอยู่

 

ส่วนการศึกษาที่สำเร็จมาชั้นสูงสุด พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.94 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 36.06 ระดับปริญญาตรี และร้อยละ 4.00 ระดับสูงกว่าปริญญาตรีส่วนรายได้ส่วนตัวเฉลี่ยต่อเดือน พบว่า

 

ตัวอย่างร้อยละ 44.18 มีรายได้ 10,001-20,000 บาท

ร้อยละ 18.67  มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท

ร้อยละ 20.23 มีรายได้ 20,001-30,000 บาท

ร้อยละ 6.06 มีรายได้ 30,001-40,000 บาท

ร้อยละ 6.74 มีรายได้ 40,001-50,000 บาท และ

ร้อยละ 4.12 มีรายได้สูงกว่า 50,000 บาท

 

สำหรับอาชีพ พบว่า

ร้อยละ 21.57 อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน

ร้อยละ 12.26 อาชีพค้าขาย

ร้อยละ 15.58 เป็นนักเรียนนักศึกษา

ร้อยละ 11.80 อาชีพรับจ้างทั่วไป

ร้อยละ 5.99 อาชีพรับราชการ

ร้อยละ 9.12 อาชีพธุรกิจส่วนตัว

ร้อยละ 7.56 เป็นพ่อบ้านแม่บ้าน

ร้อยละ 7.56 อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ

ร้อยละ 1.66 อาชีพเกษตรกรรม และ

ร้อยละ 6.99 ประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น เกษียณอายุ ว่างงาน พนักงานมหาวิทยาลัย เป็นต้น

 

ผลสำรวจในเดือนมกราคมที่ผ่านมา พบว่า

ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเบื่อหน่าย (ร้อยละ 61.23)

ไม่มีความสุขเลย (ร้อยละ 51.80)

รู้สึกหมดกำลังใจ (ร้อยละ 47.70) และ

ไม่อยากพบปะผู้คน (ร้อยละ 35.82) เป็นครั้งคราวถึงบ่อยๆ

 

โดยในภาพรวม พบว่า ประชาชนมีความเครียดน้อย มีคะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.15 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อครั้งที่ผ่านมาในเดือนตุลาคม 2559 ที่มีคะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.11 คะแนน

โดยเรื่องที่ทำให้เกิดความเครียดมากที่สุด คือ เรื่องการงาน (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.91) โดยเฉพาะปัจจัยเกี่ยวกับสวัสดิการ/ค่าตอบแทน ความมั่นคงในงานที่ทำและความก้าวหน้าในอาชีพ เป็นต้น รองลงมา คือ เรื่องเศรษฐกิจ/การเงิน (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.82) โดยเฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวกับราคาสินค้าแพง ปัญหาหนี้สิน/รายรับไม่พอกับรายจ่าย และค่าครองชีพสูงเป็นต้น

อีกด้านหนึ่งที่ประชาชนมีความเครียดสูง คือ เรื่องการเรียน (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.77คะแนน)โดยเฉพาะปัจจัยเกี่ยวกับผลการเรียน การศึกษาต่อ และอาชีพในอนาคต/อนาคตในการทำงาน เป็นต้น

 

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบความเครียดแต่ละเรื่องในกลุ่มประชาชนแต่ละวัย (Generation) พบว่า ประชาชนในกลุ่ม Gen Y (อายุ 25-35 ปี) มีความเครียดมากที่สุด รองลงมา คือ Gen X (อายุ 36-50 ปี) (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.35 และ 2.21 คะแนนตามลำดับ) ส่วนกลุ่มที่มีความเครียดน้อยที่สุด คือ ประชาชนในกลุ่ม Gen Z (อายุ 15-18 ปี) (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 1.79 คะแนน) และเมื่อพิจารณารายละเอียดความเครียดในแต่ละเรื่องของกลุ่มประชาชนแต่ละวัย พบว่า

–    Gen Z (อายุ 15-18 ปี) มีความเครียดในเรื่องการเรียนมากที่สุด รองลงมาเครียดเรื่องครอบครัว และเครียดเรื่องเพื่อน ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.80, 2.56 และ 2.48 คะแนน ตามลำดับ)

–    Gen M(อายุ 19-24 ปี) มีความเครียดในเรื่องการงานมากที่สุด รองลงมาเครียดเรื่องการเรียน และเครียดเรื่องความรัก ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.98, 2.97 และ 2.95 คะแนน ตามลำดับ)

–    GenY(อายุ 25-35 ปี) มีความเครียดในเรื่องเศรษฐกิจ/การเงินมากที่สุด รองลงมาเครียดเรื่องการงาน และเรื่องความรัก ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 3.02, 3.01 และ 2.67 คะแนน ตามลำดับ)

–    GenX(อายุ 36-50 ปี) มีความเครียดในเรื่องการงานมากที่สุด รองลงมาเครียดเรื่องเศรษฐกิจ/การเงิน และเรื่องความรัก ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.99, 2.85 และ 2.77 คะแนน ตามลำดับ)

–    Gen B (อายุ 51-69 ปี) มีความเครียดในเรื่องสุขภาพมากที่สุด รองลงมาเครียดเรื่องเศรษฐกิจ/การเงิน และเรื่องครอบครัว ตามลำดับ (คะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 2.87, 2.69 และ 2.68 คะแนน ตามลำดับ)

 

ส่วนวิธีปฏิบัติตน เพื่อแก้ปัญหาเมื่อตนเองรู้สึกเครียดในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการงาน เรื่องเศรษฐกิจ/การเงิน และเรื่องการเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่มีความเครียด ในภาพรวม พบว่า เมื่อประชาชนรู้สึกเครียดในเรื่องการงานจะแก้ปัญหาความเครียด โดยการตั้งใจและรับผิดชอบงานในหน้าที่ให้ดีที่สุด หากิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุข หางานอดิเรก และลาออก หางานใหม่ เป็นต้น

ส่วนในเรื่องเศรษฐกิจ/การเงินจะแก้ปัญหาความเครียดโดยการใช้จ่ายอย่างประหยัด ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง หากิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุข หางานอดิเรกทำ และวางแผนการใช้เงิน ใช้จ่ายอย่างมีวินัย เป็นต้น

สำหรับในเรื่องการเรียนจะแก้ปัญหาโดยการขยันและตั้งใจเรียนมากขึ้น การทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกเพื่อคลายเครียดและการออกกำลังกาย เล่นกีฬา เป็นต้น

Exit mobile version