มาลี น้ำผลไม้แบรนด์ไทย ผู้นำตลาดของตลาดน้ำผลไม้มูลค่า1.25 หมื่นล้านบาท และตลาดน้ำผลไม้พรีเมียมครองส่วนแบ่งกว่า 20% ของมูลค่าตลาดกว่า 5 พันล้านบาท ขยายตลาดไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเปิดตัว 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์นำร่องเสริมความมั่นใจคนไทยทุกๆ วัน ร่วมชิงมาร์เก็ตแชร์ในตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) มูลค่ารวม 1.54 แสนล้านบาท
การขยายธุรกิจของน้ำผลไม้มาลี ครั้งนี้ ถือเป็นยุทธศาสตร์ของการสร้างการเติบโตของการดำเนินธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน
จากจุดเริ่มต้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ( พฤศจิกายน 2561 )มีข่าวความเคลื่อนไหวระหว่าง มาลีกรุ๊ป จับมือกับพาร์ตเนอร์บริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย (PT Kino Indonesia Tbk) ยักษ์ใหญ่บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศอินโดนีเซีย ก่อตั้ง บริษัท พีที คีโน่ มาลี อินโดนีเซีย ด้วยทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้ง 2 ประเทศ คือ ไทยและอินโดนีเซีย
ล่าสุด ( 3 กันยายน 2561 )มาลีกรุ๊ป เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งองค์กร เพื่อขยายฐานธุรกิจใหม่ในตลาดเครื่องใช้ส่วนบุคคล โดยร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคของอินโดนีเซีย เปิดบริษัท มาลี คีโน่ ประเทศไทย จำกัด เพื่อนำเข้า 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิวหน้า ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม และผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและฟัน
พร้อมวางกลยุทธ์การจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าครอบคลุมทั่วประเทศ โดยจับมือ บริษัท ซีพี คอนซูเมอร์โพรดักส์ จำกัด เพื่อเตรียมผลิตภัณฑ์ในเครือมาลี คีโน่ ประเทศไทย ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 ในห้างสรรพสินค้ากลุ่มความงามและเครื่องสำอาง เช่น EVEANDBOY, Beautrium, Hej Street Beauty และมีแผนจะเพิ่มช่องทางไปยังห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อชั้นนำต่างๆ ในอนาคต
นายโอภาส โลพันธ์ศรี ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการขายและการตลาด บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขยายฐานธุรกิจใหม่สู่ตลาดเครื่องใช้ส่วนบุคคลในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และท้าทายของมาลีกรุ๊ป ที่เน้นตลาดอาหารและเครื่องดื่มมาตลอด 40 ปี
เป็นการต่อยอดการขยายฐานธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตขององค์กร ผ่านการร่วมทุนกับบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย (PT Kino Indonesia Tbk) ที่มีจุดแข็งด้านสินค้าอุปโภคบริโภคที่อินโดนีเซียในตลาดเครื่องใช้ส่วนบุคคล อาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยา เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้ง 2 ประเทศด้วยกำลังซื้อรวมกว่า 330 ล้านคน ตามกลยุทธ์การขยายตลาดด้วยการจับมือกับบริษัทพาร์ตเนอร์ชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงช่องทางขายและการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคลมีมูลค่าตลาด 154,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก ยูโรมอนิเตอร์ ณ เดือน มีนาคม 2018) โดยทั้ง 3 ตลาดที่มาลี คีโน่ เลือกนำมาเปิดตลาดถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคตามเทรนด์การดูแลตัวเอง ประกอบด้วย
1) ผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิวหน้า มูลค่าทางการตลาดที่ 70,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 6.1%
เปิดตัว คลีนซิ่ง วอเตอร์ (OVALE Micellar Cleansing Water) – เช็ดปุ๊บ ใสเป๊ะ ได้ทุกวัน ด้วยผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดผิวหน้า ริมฝีปาก และรอบดวงตา ขนาดพกพา ทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องล้างทำความสะอาดอีกครั้ง ปราศจากแอลกอฮอล์ผ่านการทดสอบ Hypoallergnic และ Dermatologically จึงอ่อนโยนเหมาะกับผิวแพ้ง่าย ช่วยทำความสะอาดให้หน้าใส นุ่ม ชุ่มชื้น ได้ทุกวัน ประกอบด้วย 2 สูตร ได้แก่ สูตรไบรท์เทนนิ่ง (สำหรับผิวปกติ) และสูตรไบร์ทเทนนิ่งฟอร์เอคเน่ สกิน (สำหรับผู้มีปัญหาสิว) ในขนาด 100 มล. ราคา 75 บาท
2) ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม มูลค่าทางการตลาดที่ 29,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 6.3%
เปิดตัว เอลิปส์ แฮร์ วิตามิน โปร เคราติน คอมเพล็กซ์ (ellips Hair Vitamin Pro-Keratin Complex) – ตัวช่วยให้ผมสวย มั่นใจได้ทุกเวลา ด้วยแฮร์ วิตามิน แบบไม่ต้องล้างออกที่ขายดีที่สุดมาเกือบ 10 ปีในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยส่วนผสมจากโปร เคราติน คอมเพล็กซ์ ที่ช่วยปกป้องเส้นผมจากความร้อนของการเป่าผม และช่วยฟื้นฟูสภาพเส้นผมที่แห้งเสียให้กลับมามีชีวิตชีวา ประกอบด้วย 3 สูตร ได้แก่ สูตรแฮร์รีแพร์ สูตรสมูทแอนด์ซิลกี้ และสูตรซิลกี้แบล็ค ในขนาดแผง 6 แคปซูล และกระปุก 50 แคปซูล ราคา 49 บาท และ 400 บาท ตามลำดับ
เอลิปส์ แฮร์ มาส์ก โปร เคราติน คอมเพล็กซ์ (ellips Hair Mark Pro-Keratin Complex) – ตัวช่วยให้ผมสวย มั่นใจได้ทุกเวลา ด้วยมาส์กบำรุงเส้นผมที่ขายดีที่สุด 4 ปีซ้อนในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยส่วนผสมจากโปร เคราติน คอมเพล็กซ์ เพียงชโลมทิ้งไว้ 3-5 นาทีหลังสระผมแล้วล้างออก สามารถช่วยฟื้นฟูเส้นผมที่แห้งเสียให้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ประกอบด้วย 3 สูตร ได้แก่ สูตรแฮร์รีแพร์ สูตรสมูทแอนด์ซิลกี้ และสูตรซิลกี้แบล็ค ในขนาด ซอง 18 กรัม และ หลอด 120 กรัม ราคา 39 บาท และ 189 บาท ตามลำดับ
เอลิปส์ ดราย แชมพู (ellips Dry Shampoo) – ทุกนาทีไม่มี Fail ด้วยสเปรย์สระผมชนิดแห้ง ช่วยทำความสะอาดและทำให้เส้นผมหอมสดชื่นสวยมั่นใจได้ทุกเวลา ประกอบด้วย 4 กลิ่น ได้แก่ กลิ่นบลอสซั่ม กลิ่นฟรุ๊ตตี้ กลิ่นบรีซ และกลิ่นเอ็กโซติค ในขนาด 50 มล. และ 200 มล. ราคา 115 บาท และ 229 บาท ตามลำดับ
3) ผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและฟัน และ 8,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 7.2%
เปิดตัว กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและฟัน ในเซ็กเมนต์ผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน ได้แก่ ยาสีฟันสมุนไพรซาซ่า (Sasha Herbal Toothpaste) – พลังสมุนไพรดี ที่โลกต้องรู้ ด้วยยาสีฟันสมุนไพรที่ได้รับเครื่องหมายฮาลาล พร้อมส่วนผสมของสิวาก (Siwak) สุดยอดสมุนไพรที่องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพและลดปัญหาเกี่ยวกับช่องปากทั้ง 10 ประการ เช่น รักษาโรคเหงือก ต่อต้านเชื้อโรคในช่องปาก ทำให้ฟันขาวสะอาด ลดแบคทีเรียต้นเหตุกลิ่นปาก และช่วยรักษาและป้องกันฟันผุ ประกอบด้วย 2 สูตร ได้แก่ สูตรสมุนไพร (หลอดสีทอง) และสูตรไวท์เทนนิ่ง (หลอดสีขาว) ในขนาด 65 กรัม ราคา 59 บาท
“เรามั่นใจว่าการขยายฐานธุรกิจสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ใช้ง่าย เช่น วิตามินบำรุงแบบไม่ต้องล้างออก สเปรย์สระผมชนิดแห้งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในผมสวยได้ทุกเวลา ผลิตภัณฑ์ที่ทำความสะอาดผิวหน้า ริมฝีปาก และรอบดวงตาได้ครบในขวดเดียว และยาสีฟันที่มีส่วนผสมจากสมุนไพรสิวากที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน รวมทั้งการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศจากบริษัท ซีพี คอนซูเมอร์โพรดักส์ จำกัด จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคชาวไทย และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างแน่นอน” นายโอภาสกล่าวทิ้งท้าย