www.onlinenewstime.com : ผลสำรวจดัชนีบำนาญระดับโลก เล็งเห็นความสัมพันธ์ระหว่างหนี้ครัวเรือนและสินทรัพย์บำนาญ โดยบริษัท เมอร์เซอร์ เมลเบิร์น (MMGPI) ฉบับที่ 11 ได้มีการเปรียบเทียบระบบเงินบำนาญทั้งสิ้น 37 ระบบด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลประชากรถึง 2 ใน 3 ของโลก
สำหรับปี พ.ศ. 2562 เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่ระบบรายได้หลังเกษียณ ได้ถูกรวบรวมไว้ในรายงานดัชนีเงินบำนาญนี้ โดยอยู่ในอันดับที่ 37 ด้วยมูลค่าดัชนี 39.4 โดยจะมีตัวเลขในด้านความเพียงพออยู่ที่ 38.5 และ 38.8 ในด้านความยั่งยืน และสำหรับด้านความน่าเชื่อถืออยู่ที่ 46.1 ซึ่งตัวเลขนี้สื่อถึงความจำเป็นในการพัฒนาระบบบำนาญในอนาคตของประเทศไทย และชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ระดับสินทรัพย์บำนาญและหนี้ครัวเรือน
นายจักรชัย บุญยะวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมอร์เซอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า มูลค่าดัชนีเงินบำนาญของประเทศไทยนั้น สามารถขยายเพิ่มขึ้นได้ โดยการเพิ่มขอบเขตอาชีพของลูกจ้างในประเภทต่าง ๆ ให้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ระดับการมีส่วนร่วม ตลอดจนเงินออม เงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ อยู่ในระดับที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ การเพิ่มมูลค่าดัชนีโดยรวมของประเทศไทยนั้น ยังสามารถทำได้ โดยการเพิ่มการสนับสนุนสวัสดิการขั้นพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีรายได้น้อย การเพิ่มข้อกำหนดในสวัสดิการลูกจ้างขององค์กรภาคเอกชนให้มีผลประโยชน์
ส่วนหนึ่งที่จะสามารถเป็นรายได้อย่างต่อเนื่องของลูกจ้างแต่ละคน ภายหลังจากการเกษียณในอนาคต หรือแม้แต่การกำหนดข้อบังคับ จำนวนเงินขั้นต่ำสำหรับกองทุนเงินออมเพื่อการเกษียณอายุของพนักงานให้เพียงพอ ต่อการยังชีพในอนาคต ก็สามารถดำเนินการได้เพื่อเพิ่มมูลค่าดัชนีเงินบำนาญของประเทศได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลไทย มีการพัฒนานโยบายที่หลากหลายเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญให้ประชาชนในวงกว้างยิ่งขึ้น โดยครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือกลุ่มพนักงานสัญญาชั่วคราว อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เข้าร่วมยังอยู่ในระดับไม่สูงนัก และเราคาดหวังว่าจำนวนเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
รายงานฉบับนี้ ถือเป็นการสำรวจในระดับนานาประเทศฉบับแรก ที่รวบรวมถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับ “ผลกระทบจากความมั่งคั่ง” เช่น แนวโน้มในการใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ตามระดับความมั่งคั่งที่เกี่ยวเนื่องกับสินทรัพย์บำนาญ โดยข้อมูลจากรายงานชี้ให้เห็นว่า เมื่อสินทรัพย์บำนาญเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ปัจเจกบุคคลมีความรู้สึกมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้น และยังส่งผลต่อแนวโน้มในการกู้ยืมที่มากขึ้นอีกด้วย
ดร. เดวิด น็อกซ์ จากบริษัท เมอร์เซอร์ ผู้เขียนรายงานดังกล่าว ได้เน้นย้ำถึงการเติบโตของสินทรัพย์ที่ถือครองโดยกองทุนบำเหน็จบำนาญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ภาคครัวเรือน มีความรู้สึกมั่นคงทางการเงิน จากการมีรายได้ที่แน่นอนในอนาคตมากยิ่งขึ้น จึงมีการกู้ยืมเงินก่อนเกษียณ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาความเป็นอยู่ส่วนบุคคลมากขึ้นเช่นกัน
“ในขณะที่ความมั่งคั่งส่วนบุคคลเพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะในแง่ของการเป็นเจ้าของที่พักอาศัย สินทรัพย์การลงทุนต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น หรือเงินออมเพื่อชีวิตหลังเกษียณที่อยู่ในระดับสูงขึ้น มิได้เป็นแรงกดดัน ต่อแนวโน้มของหนี้ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน โดยข้อมูลจากรายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าในระดับโลกแล้ว ทุก 1 ดอลล่าร์ที่เพิ่มขึ้นในสินทรัพย์บำนาญ หนี้ครัวเรือนของบุคคลนั้น จะเพิ่มขึ้นเกือบ 50 เซนต์”
รายงานฉบับนี้ ได้มีการเปรียบเทียบระบบบำเหน็จบำนาญทั้งหมด 37 รูปแบบ ซึ่งมีข้อมูลครอบคลุมประชากรโลกถึงเกือบ 2 ใน 3 โดยได้มีการเน้นย้ำ ให้เห็นถึงความแตกต่างของระบบบำนาญที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกอย่างแพร่หลาย ทั้งยังเผยให้เห็นว่า แม้กระทั่งระบบบำเหน็จบำนาญที่ดีที่สุดของโลกเอง ก็ยังคงมีข้อบกพร่องอยู่ นอกจากนี้ รายงานประจำปีพ.ศ. 2562 ยังเพิ่มข้อมูลจากประเทศฟิลิปปินส์และตุรกีเข้ามาอีกด้วย นอกเหนือจากประเทศไทยที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
แม้ว่าระบบบำเหน็จบำนาญของแต่ละแห่ง จะมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง แต่รายงานฉบับนี้ก็สามารถแสดงให้เห็น ถึงประเด็นสำคัญที่ทุกระบบ สามารถนำไปพัฒนาต่อยอด เพื่อเอาชนะความท้าทายที่ทุกภูมิภาคกำลังเผชิญอยู่ได้
“ปัญหาที่ระบบต่างๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญร่วมกันคือ อายุขัยของประชากรที่ยืนยาวมากขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา เป็นการเพิ่มแรงกดดัน ในการบริหารจัดการระบบสวัสดิการพื้นฐานของภาครัฐ เพื่อดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชากรสูงอายุ ผู้กำหนดนโยบาย จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงจุดแข็งและจุดด้อยในระบบของตนเองอย่างถี่ถ้วน เพื่อผลสำเร็จในระยะยาวสำหรับผู้เกษียณอายุในอนาคตนั่นเอง”
รายงานนี้ใช้ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของดัชนีย่อย ได้แก่ ความเพียงพอ ความยั่งยืน และความโปร่งใส ในการประเมินระบบบำนาญแต่ละระบบ ร่วมกับตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องมากกว่า 40 ประเภท และอีกทั้งยังใช้ระบบการคำนวณอัตราเงินบำนาญสุทธิรูปแบบใหม่ (นำระดับเงินบำนาญสุทธิที่จะได้รับ มาแทนที่ระดับเงินได้จากการจ้างงานก่อนเกษียณ) และในขณะที่รายงานดัชนีในหลาย ๆ ฉบับที่ผ่านมา ใช้วิธีการคำนวณจากค่ามัธยฐานของอัตราเงินบำนาญสุทธิจากผู้มีรายได้ปานกลาง แต่รายงานฉบับล่าสุดนี้ ได้มีการใช้ช่วงเงินที่กว้างขึ้นตามข้อมูลขององค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพื่อให้การทำรายงานครอบคลุมกลุ่มผู้เกษียณอายุที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
นายมาร์ติน พาคูลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นวัตกรรม และการค้า กล่าวว่า ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา รายงานดัชนีเงินบำนาญระดับโลกของเมอร์เซอร์ เมลเบิร์น ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญของระบบเงินบำนาญทั่วโลก และการที่รายงานนี้ได้รับการยอมรับอย่างสูง ในระดับนานาประเทศ ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงชื่อเสียงของเมลเบิร์น ในฐานะศูนย์กลางความเชี่ยวชาญด้านการวิจัย นวัตกรรม และระบบการเงินของโลกอีกด้วย
ข้อมูลด้านตัวเลข
ในส่วนของประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นมีมูลค่าดัชนีสูงสุด (81.0) และครองอันดับต้นๆมาอย่างต่อเนื่องถึง 10 ปี จากข้อมูล 11 ปีนับตั้งแต่ที่มีการรายงานดัชนีบำนาญนี้มา ในขณะที่ประเทศไทยมีมูลค่าดัชนีอยู่ในระดับต่ำที่ 39.4
สำหรับค่าดัชนีย่อย ไอร์แลนด์ได้ค่าความเพียงพอสูงสุด อยู่ที่ 81.5 เดนมาร์กได้ค่าความยั่งยืนสูงสุดที่ 82.0 ในขณะที่ฟินแลนด์ได้ค่าความน่าเชื่อถือสูงสุดที่ 92.3 สำหรับค่าดัชนีย่อยต่ำสุดนั้น ประเทศไทยได้รับค่าความเพียงพอต่ำสุดอยู่ที่ 35.8 และอิตาลีได้รับค่าความยั่งยืนต่ำสุด 19.0 ฟิลิปปินส์ได้ค่าความน่าเชื่อถือต่ำสุดอยู่ที่ 34.7
ค่าดัชนีย่อยในส่วนของดัชนีความยั่งยืน ยังคงชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของระบบ ในหลายๆ ด้านเมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ที่ระบบบำนาญในปัจจุบัน จะสามารถมอบผลประโยชน์ได้อย่างแท้จริงให้แก่ทุกฝ่ายได้ในอนาคต
ดัชนีความยั่งยืน ยังถือเป็นจุดอ่อนของอนาคต ที่จะเต็มไปด้วยประชากรสูงอายุและระบบแบบกำหนดเงินสมทบ
ดัชนีความยั่งยืนถือเป็นประเด็นปัญหาที่เด่นชัด ในหลายๆประเทศในแถบอเมริกาใต้และเอเชีย จากที่เห็นเด่นชัดในค่าเฉลี่ยความเพียงพอที่ได้เพียงเกรด D เท่านั้น เช่นในตัวอย่างของประเทศชิลี แม้จะได้ค่าดัชนีย่อยนี้สูงถึง 71.7 แต่บราซิลและอาร์เจนตินากลับได้เพียง 27.7 และ 31.9 ตามลำดับเท่านั้น อาจคล้ายคลึงกับในประเทศแถบเอเชีย ที่สิงคโปร์ได้คะแนนสูงที่ 59.7 ในขณะที่ญี่ปุ่นได้เพียง 32.2 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาเท่านั้น แต่ประเทศในแถบยุโรปเอง ก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหานี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้เดนมาร์กจะได้รับค่าดัชนีย่อยของความยั่งยืนสูงที่สุดถึง 82.0 แต่อิตาลีและออสเตรียได้ค่าดัชนีย่อยนี้เพียง 19.0 และ 22.9 เท่านั้น
แม้ปัจจัยที่ใช้คำนวณค่าดัชนีความยั่งยืนหลายตัว จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ยาก แต่ยังมีตัวแปรอีกหลายตัว ที่สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพในระยะยาวของระบบ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ โดยข้อแนะนำจากรายงานนี้ ยังครอบคลุมถึงการกระตุ้นหรือกำหนดระดับเงินออมให้สูงขึ้นสำหรับอนาคตได้ เช่น การเพิ่มอายุการเกษียณงานของภาครัฐ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และการเปิดโอกาสหรือการจูงใจให้ประชากร ยืดอายุการทำงานออกไปอีกสักระยะก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเช่นกัน
ศาสตราจารย์ ดีพ คาปูร์ ผู้อำนวยการ MCFS กล่าวว่า ถึงแม้บางประเทศจะยังใช้ระบบแบบกำหนดประโยชน์ทดแทน (Defined Benefits) ซึ่งอาจใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Liability-Driven Investment แต่แผนเงินบำนาญแบบกำหนดเงินสมทบ (Defined Contribution) จะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการสะสมเงินออมเพื่อการเกษียณส่วนบุคคล และการเพิ่มโอกาสของผลตอบแทนจากการลงทุนที่ปรับด้วยความเสี่ยงให้สูงขึ้น ผ่านความหลากหลายของสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“การพิจารณาทบทวนเพื่อปรับอายุเกษียณ ให้สอดคล้องกับอายุขัยที่เพิ่มขึ้นนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศ ได้เริ่มขั้นตอนนี้ไปบ้างแล้ว ทั้งนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการของระบบบำนาญ”