fbpx
News update

ปราบภัยไซเบอร์ด้วยแนวคิด “Zero Trust” แบบไมโครซอฟท์

Onlinenewstime.com : ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวเราตลอดรอบปีที่ผ่านมา อย่างการย้ายจากทำงานที่ออฟฟิศ มาเป็นการทำงานที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ ทำให้เราต้องพึ่งพาช่องทางดิจิทัล เพื่อการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น

ซึ่งหมายความว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการทำงานแบบไฮบริด ที่มีเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทแบบเกือบเต็มร้อย และความเปลี่ยนแปลงนี้ จะส่งผลโดยตรงต่อแนวคิดด้านการรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์อย่างมหาศาล

นอกจากนี้ จากเดิมที่ระบบขององค์กร ที่มีแค่พนักงานเท่านั้นที่เป็นผู้ใช้ ก็ขยายออกไปครอบคลุมถึงธุรกิจคู่ค้า ลูกค้า หรือแม้แต่บอท ต่างๆ ส่วนอุปกรณ์และแอปพลิเคชัน ก็กระจายตัวออกไป มีทั้งดีไวซ์หรือโทรศัพท์ส่วนตัวที่พนักงานเลือกใช้เอง แอปแชตสาธารณะต่างๆ อุปกรณ์ IoT และแอปในคลาวด์และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อความคล่องตัว และสร้างความสามารถในการแข่งขัน ตอบสนองกับโอกาสได้อย่างรวดเร็ว

ในเมื่อเทคโนโลยีในองค์ก รต้องกระจายตัวออกสู่ผู้ใช้ที่ปลายทางมากยิ่งขึ้นแบบนี้ ผลที่ตามมาก็คือ เครือข่ายขององค์กรไม่ได้สิ้นสุดแค่ในออฟฟิศอีกต่อไป และช่องทางที่ต้องเฝ้าระวัง ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นแบบทวีคูณ ซึ่งก็ทำให้การสร้างความปลอดภัยในโลกดิจิทัลยุคนี้ ต้องอาศัยแนวคิดที่มองในมุมที่เรียกว่า “Zero Trust” เพื่อสร้างเกราะป้องกัน ไม่ให้เกิดภัยคุกคามขึ้นง่ายๆ ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ขับเคลื่อนงานในด้านความปลอดภัยของไมโครซอฟท์มาโดยตลอด โดยจะมีการยกระดับความปลอดภัย ให้ครอบคลุมทุกความเสี่ยงอยู่เสมอ

แนวคิด Zero Trust เป็นสิ่งที่ทุกองค์กร สามารถนำไปปรับใช้ได้เช่นกัน แต่คำถามแรกๆ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการนำมาปรับใช้จริง ก็คงไม่พ้นกับคำว่า “แล้วองค์กรของเราต้องเริ่มต้นอย่างไรหรือเริ่มตรงไหน?”

สำหรับไมโครซอฟท์เอง เราตีโจทย์ Zero Trust ออกเป็น 6 ด้านใหญ่ๆ

  1. Identity – การยืนยันตัวตนของผู้ใช้
  2. Device – การรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ เช่นเครื่องพีซีหรือสมาร์ทโฟน
  3. Apps – แอปพลิเคชันที่ใช้งานในองค์กร
  4. Infrastructure – โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์
  5. Networking – ระบบเครือข่ายทั่วทั้งองค์กร
  6. Data – ข้อมูลที่องค์กรจัดเก็บและประมวลผล

จาก 6 ด้านนี้ หลายคนอาจคิดว่า ต้องมุ่งไปที่โครงสร้างพื้นฐานกับเรื่องของเครือข่ายเป็นหลัก แต่ในปี 2563 ที่ผ่านมา ผลสำรวจของไมโครซอฟท์ในอเมริกาและแคนาดาพบว่า 38% ของผู้บริหารฝ่ายไอที ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์มากที่สุด ตามมาด้วย 24% ที่ยกให้การยืนยันตัวตนผู้ใช้นั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง และที่น่าสนใจก็คือมีองค์กรถึง 79% ที่ระบุว่ามีความพร้อมสูงในการสร้างสภาพแวดล้อมแบบ Zero Trust ให้กับอุปกรณ์ แต่กลับมีเพียง 52% เท่านั้นที่มีความพร้อมสูงในด้านการยืนยันตัวตน[1] ทั้งที่ความปลอดภัยในทั้งสองด้านนี้ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก และควรจะต้องยกระดับแบบคู่ขนานกันไป

แน่นอนว่าการเสริมสร้างความปลอดภัย ไม่ว่าจะในด้านไหน ล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายแ ละมีความซับซ้อนละเอียดอ่อนที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับในด้านการยืนยันตัวตนและอุปกรณ์นั้น เรามีหลักปฏิบัติพื้นฐานที่ทุกองค์กรสามารถทำได้ดังนี้

  • ตรวจสอบให้มั่นใจ อย่างวางใจแม้ (เห็น) เป็นพนักงาน ถ้ามีใครพยายามเข้าใช้งานระบบ จากสถานที่แปลก ๆ อุปกรณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือแม้แต่ผิดเวลา ก็อาจเป็นสัญญาณว่า มีผู้ประสงค์ร้ายอยู่เบื้องหลัง นำรหัสผ่านหรืออุปกรณ์ที่ขโมยมาใช้งาน และที่สำคัญ ต้องคอยตรวจสอบด้วยว่าอุปกรณ์ที่ใช้งานปลอดภัย ไม่มีมัลแวร์หรืออาวุธร้ายอื่น ๆ แอบแฝงมาด้วย
  • จำเป็นแค่ไหน ให้ใช้แค่นั้น เพราะผู้ใช้แต่ละคน ไม่ได้จำเป็นจะต้องเข้าถึงข้อมูลของทั้งองค์กร จึงควรเปิดให้ใช้งานได้ เฉพาะที่จำเป็น ลดโอกาสที่จะเกิดความสับสนวุ่นวายในการแก้ไข หรือใช้งานข้อมูล และยังลดความเสี่ยงที่จะรั่วไหลออกไปภายนอกด้วย
  • พร้อมตั้งรับทุกการจู่โจม เพื่อลดความเสียหายล่วงหน้า เพราะถ้ารอให้ตรวจพบร่องรอยของผู้บุกรุก ก่อนที่จะลงมือแก้ไข ก็คงจะสายเกินแก้ไปแล้ว จึงควรเลือกใช้ระบบความปลอดภัย ที่สามารถตรวจจับสัญญาณเตือนได้รอบด้าน รวมถึงพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่น่าสงสัยต่าง ๆ ด้วย

สามหลักการพื้นฐานนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับทุกองค์กรบนเส้นทาง Zero Trust ก่อนที่จะต่อยอดไปสู่การปกป้องส่วนอื่น ๆ ขององค์กรต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงนั้น จะขาดหรือเว้นด้านใดด้านหนึ่งจากทั้ง 6 ด้านนี้ไปไม่ได้

สำหรับผู้ที่สนใจเจาะลึกมิติต่างๆ ของความปลอดภัย เพื่อให้เท่าทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปรอบตัวเรา รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานใหม่ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กำลังจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับ e-book ได้ฟรี


[1] Securing identities with Zero Trust, Microsoft, January 2021