www.onlinenewstime.com : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยสถานการณ์ภัยแล้งนอกฤดูกาลในปี 2562 (พฤษภาคม-กรกฎาคม 2562) ได้ส่งผลกระทบต่อความแห้งแล้งเป็นอย่างมาก จากอิทธิพลของเอลนีโญกำลังอ่อน ที่ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงและมีภาวะฝนน้อยน้ำน้อย
พิจารณาได้จากปริมาณน้ำในเขื่อน ที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลต่อความเสียหายของผลผลิต พืชเกษตรหลักอย่างข้าวนาปี ที่ได้ปลูกไปแล้ว ทำให้ราคาข้าวนาปี เฉลี่ยขยับขึ้นได้ในช่วงนี้ ส่งผลต่อภาพรวม ราคาข้าวนาปีเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 (YoY) อย่างไรก็ตาม ด้วยความเสียหายของผลผลิตข้าวนาปีที่ลดลง จึงยังเป็นแรงกดดันต่อภาพรวมรายได้เกษตรกร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลกระทบจากภัยแล้งนอกฤดูกาลในครั้งนี้ (พฤษภาคม-กรกฎาคม 2562) คาดว่าจะทำให้เกิดความเสียหาย ต่อผลผลิตข้าวนาปีเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้เกิดมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นราวร้อยละ 0.1 ของ GDP
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ภัยแล้งนอกฤดูกาล ที่อาจลากยาวได้อีกในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2562 ที่อาจกระทบต่อปริมาณผลผลิตข้าวนาปี ที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ซึ่งอาจส่งผล ต่อมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก
แม้ว่าประเทศไทย จะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2562 ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา แต่โดยภาพรวมแล้ว ปริมาณน้ำฝนก็ยังอยู่ในระดับต่ำ
เนื่องจากอิทธิพล ของปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน (Weak El Nino) ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้ อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งประเทศ ยังคงสูงกว่าค่าปกติราว 1-2 องศาเซลเซียส และทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงราว 2 เดือน ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2562
นับเป็นสถานการณ์ภัยแล้งนอกฤดูกาล (ภัยแล้งช่วงหน้าฝน) ส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 10% และทำให้ระดับน้ำในเขื่อน อยู่ในระดับต่ำ
พิจารณาได้จากปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนของไทย แยกตามรายภาค ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2562 มีปริมาตรน้ำใช้การได้ในเขื่อนทั้งประเทศ ลดลงร้อยละ 48.5 (YoY) โดยเฉพาะในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ กระทบต่อการขาดแคลนน้ำ เพื่อใช้ในการเกษตร
นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า สถานการณ์ภัยแล้งนอกฤดูดังกล่าว จะเป็นภาวะแห้งแล้งเช่นนี้ ที่มีฝนทิ้งช่วงและภาวะฝนน้อยน้ำน้อย ไปจนถึงสิ้นปี 2562 อีกด้วย
ดังนั้น จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า ภัยแล้งนอกฤดูกาลครั้งนี้ที่ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง และภาวะฝนน้อยน้ำน้อยในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2562 ได้ส่งผลกระทบ ต่อมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และยิ่งเป็นการซ้ำเติมรายได้เกษตรกรให้แย่ลงไปอีก ดังนี้
- ข้าวนาปี เป็นพืชเกษตรที่ได้รับผลกระทบหนักสุด จากปัญหาภัยแล้ง ที่ยืดเยื้อยาวนานในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2562 เนื่องจากตรงกับฤดูกาลเพาะปลูก อีกทั้งผลผลิตข้าวนาปีส่วนใหญ่ อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นสัดส่วนผลผลิตร้อยละ 46.4 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งประเทศ ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่นอกเขตชลประทานมากถึงร้อยละ 90 ของพื้นที่ปลูกข้าวนาปีทั้งหมดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งภัยแล้งในช่วงนอกฤดูกาลดังกล่าวนี้ ทำให้ราคาข้าวนาปี เฉลี่ยขยับขึ้น ส่งผลต่อภาพรวมราคาข้าวนาปีเฉลี่ย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 (YoY) อย่างไรก็ตาม ด้วยความเสียหายของผลผลิตข้าวนาปีที่ลดลง จึงยังเป็นแรงกดดัน ต่อภาพรวมรายได้เกษตรกร
- ผลกระทบต่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจในช่วงภัยแล้งนอกฤดูกาล (พฤษภาคม-กรกฎาคม 2562) โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจอาจไม่ต่ำกว่ำ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการประเมินความเสียหาย ของข้าวนาปีเป็นหลัก หรือคิดเป็นราวร้อยละ 0.1 ของ GDP แต่ทั้งนี้ เป็นการประเมินในเบื้องต้น ซึ่งหากรวมผลเสียหายของพืชเกษตรอื่น อาจทำให้มีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่าที่ประเมินไว้
- ต้องติดตามสถานการณ์ภัยแล้งนอกฤดูกาล ที่อาจลากยาวต่อเนื่องได้อีกจากอิทธิพลของปรากฎการณ์เอลนีโญกำลังอ่อน ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม 2562 ซึ่งอาจกระทบต่อผลผลิตข้าวนาปี ที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ดังนั้น คงต้องมีการติดตามระยะเวลา และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเป็นระยะ และอาจต้องมีการทบทวนตัวเลขความเสียหาย ตามความเหมาะสมในระยะต่อไป รวมถึงต้องติดตามสภาพภูมิอากาศ ในช่วงระยะข้างหน้า เนื่องจากความรุนแรงของภัยแล้ง อาจมีระดับไม่เท่ากันในแต่ละเดือน
- •นอกจากนี้ ต้องจับตาสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2562 ที่ลากยาวเช่นนี้ อันจะส่งผลกระทบต่อเนื่อง ถึงปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อน ซึ่งจะใช้เป็นน้ำ เพื่อทำการเกษตรในฤดูแล้งถัดไปในปี 2563 (พฤศจิกายน 2562-เมษายน 2563) โดยจะกระทบต่อพืชเกษตรหลัก ที่มีฤดูกาลเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้งที่สำคัญคือ ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง และอ้อย ก็จะยิ่งทำให้ตัวเลขมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ มีความเสียหายต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563 และกระทบรายได้เกษตรกร ให้ยังคงลำบากต่อเนื่องไปอีก รวมถึงในระดับภูมิภาค จะยังส่งผลกระทบค่อนข้างมาก ต่อคนในพื้นที่ และจะยิ่งเป็นการฉุดกำลังซื้อครัวเรือนภาคเกษตร การมีงานทำ รวมทั้งปัญหาในภาคธุรกิจ SMEs