Onlinenewstime.com : นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี พ.ศ. 2560 ที่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ เข้ารับตำแหน่งรักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล จนเมื่อเร็วๆ นี้ ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล แล้วนั้น ทีมบริหารมหาวิทยาลัยมหิดล มีภารกิจสำคัญหลายประการท่ามกลางสถานการณ์ของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยุทธศาสตร์หนึ่งที่สำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดล คือ การเตรียมความพร้อมให้แก่นักศึกษา เพื่อก้าวสู่การเป็นพลเมืองโลก (global citizenship)
โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดกิจกรรม Student Mobility เพื่อเตรียมพร้อมนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล สู่การแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกในทุกมิติ
โดยจัดให้มีการแลกเปลี่ยน การศึกษา ฝึกอบรม และดูงาน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ระหว่างนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลและนักศึกษาต่างชาติ จนนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพ และทักษะเพื่อการดำรงชีวิต อย่างมีคุณค่า ภายใต้บริบทของวัฒนธรรมที่แตกต่าง
และในช่วงวิกฤติ Covid-19 มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีความตระหนักถึงความปลอดภัยของนักศึกษาเป็นลำดับแรก โดยได้กำหนดให้นักศึกษาและบุคลากรต่างชาติ ที่จะเข้ามาเรียนและทำงานในมหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ไปเรียนและทำงานที่ต่างประเทศ และต้องการกลับเข้ามาที่มหาวิทยาลัยมหิดล จะต้องมีหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย (COE) จากสถานทูต
พร้อมทั้งกำหนดให้กักโรค 14 วัน ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และได้ปรับรูปแบบการเรียนการสอนส่วนใหญ่ สู่ระบบออนไลน์ ซึ่งพยายามพัฒนาระบบ ให้มีคุณภาพเทียบเท่าการเรียนการสอนแบบปกติ
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป มหาวิทยาลัยมหิดล จะจัดการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Education) ซึ่งจัดการศึกษา ตามความสนใจและความสะดวกของผู้เรียน โดยสนองต่อความต้องการจ้างงานในยุคศตวรรษที่ 21
นำร่องในระดับปริญญาตรีโดยวิทยาลัยนานาชาติ (MUIC) จำนวน 16 หลักสูตร ได้แก่ วิทยาศาสตรบัณฑิต (เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ประยุกต์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร) บริหารธุรกิจบัณฑิต (การตลาด การเงิน เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ธุรกิจระหว่างประเทศ)
ศิลปศาสตรบัณฑิต (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกิจการทั่วโลก วัฒนธรรมนานาชาติศึกษาและภาษา) นิเทศศาสตรบัณฑิต (สื่อและการสื่อสาร) วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมคอมพิวเตอร์) ศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต (การออกแบบนิเทศศิลป์) และการจัดการบัณฑิต (ผู้ประกอบการด้านธุรกิจการเดินทางและธุรกิจบริการ)
ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อนาคตของมหาวิทยาลัยมหิดล ต่อจากนี้ไป ขึ้นอยู่กับชาวมหาวิทยาลัยมหิดลทุกคน แม้มหาวิทยาลัยมหิดล จะประกอบด้วย 6 วิทยาเขต ได้แก่ ศาลายา บางกอกน้อย พญาไท กาญจนบุรี นครสวรรค์ และอำนาจเจริญ ซึ่งมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังคงเป็น “We Mahidol” หรือ “มหิดลเดียวกัน” ด้วยความตระหนักในความเป็นหนึ่งเดียว (Unity) ซึ่งจะสามารถทำให้ผ่านพ้นวิกฤติใดๆ ที่เกิดขึ้นได้
“แม้จะต้องมีการปรับตัวสู่วิถีใหม่ (New Normal) มหาวิทยาลัยมหิดลก็ยังคงมีการจัดการทางกายภาพ ที่ยังคงความเป็นผู้นำด้าน “มหาวิทยาลัยสีเขียว” อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพียงส่วนหนึ่งจากรัฐบาล แต่ส่วนใหญ่ต้องสร้างและจัดหารายได้ขึ้นเอง
จึงมีความตระหนักอย่างยิ่ง ถึงข้อจำกัดทางทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวจากภาวะวิกฤติ Covid-19 ทีมบริหารมหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้มีการบริหารจัดการที่เน้นการใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ตามพระราชดำรัสของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก”
“เช่นเดียวกับการที่เราจะสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณค่าและเกิดผลกระทบ (impact) ต่อประเทศชาติ ตลอดจนสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ จำเป็นต้องมีการร่วมระดมสมอง เพื่อดึงเอาศักยภาพ และร่วมใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างสรรค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้น
ซึ่งจะเป็นความหวัง ที่คอยเสริมพลังประเทศชาติให้สามารถกลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง หลังวิกฤติ โดยมีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นฐานแห่งองค์ความรู้ที่มั่นคงและยั่งยืน” ศาสตราจารย์นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวให้ความเชื่อมั่นทิ้งท้าย