onlinenewstime.com : บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) ปรับโมเดลธุรกิจ ปั้น “วู้ดสมิตร (Woodsmith)” เป็นช่องทางค้าปลีก เพื่อแนะนำสินค้าใหม่ และขยายตลาด การใช้แผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ Wood-based Panel ประเดิมเปิด 20 สาขาในปีนี้ คาดกวาดยอดขาย กว่า 300 ล้านบาท วางเป้าปี 2566 ยอดขายรวมทะลุ 9,000 ล้านบาท พร้อมกันนี้ จะเดินหน้าก่อสร้าง โรงไฟฟ้าชีวมวล-โซลาร์รูฟท็อปของ 3 โรงงาน ตามแนวทาง การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
ในหลายครั้งอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจ ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นโอกาสได้เช่นกัน นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (VNG) เปิดเผยว่า ในช่วงเวลา 4- 5 ปีนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีทั้งกำไรมากที่สุด และในบางปีก็ขาดทุนมากที่สุด เป็นผลกระทบโดยตรง จากความผันผวน ของตลาดคอมโมดิตี้ส์โลก และเศรษฐกิจโลก ทำให้เรามีความจำเป็น ต้องปรับโมเดลธุรกิจใหม่ ลดความเชื่อมโยงกับตลาดคอมโมดิตี้ส์ของโลก แต่จะพัฒนาขายสินค้า ให้ตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น
เริ่มจากการสร้างตลาดปลายน้ำใหม่ๆ (ผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้บริโภค D.I.Y.) ในตลาดค้าปลีก และ ตลาดสินค้าไม้สำเร็จรูปทดแทนธรรมชาติ (Finished Products) โดยการปรับโมเดลครั้งนี้จะเสร็จสมบูรณ์ ในปี 2565 ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของวนชัย กรุ๊ป สามารถสร้างกำไร ได้อย่างสม่ำเสมอ และเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดี ให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต โดยในปี 2565 วางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท
ปรับทิศทางมารุกตลาดในประเทศ
เนื่องจากยอดขายของวนชัย กรุ๊ป กว่า 80% มาจากการส่งออก ปัญหาสงครามการค้า ระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีผลกระทบการค้าขายทั่วโลก รวมไปถึงค่าเงินบาท ที่แข็งค่ากว่าเงินสกุลอื่นๆ ทำให้ราคาขายสินค้าลดต่ำลง ผลพวงปัญหานี้ ยังทำให้จีนชะลอการผลิตอุตสาหกรรมไม้ และลดการซื้อไม้ยางพาราแปรรูป จากประเทศไทย
ผลกระทบดังกล่าว จึงส่งผลต่อโรงเลื่อยในประเทศไทย ชะลอการผลิต ไม้ยางพารา ที่หมดอายุจากการกรีด ทำให้วัตถุดิบในการผลิตไม้อัด หายไปจำนวนมาก
ดังนั้นการวางโมเดลธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ จะเน้นเพิ่มการขายสินค้า ในประเทศ เป็น 50% จากเดิม ที่มีเพียง 20% โดยผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Finished Products) จะทำยอดขายในประเทศ 50% ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ กำลังพัฒนาบริษัทย่อยขึ้นมาใหม่ เพื่อดำเนินการ โดยใช้ชื่อ “วนชัย วู้ดสมิธ” โมเดลนี้ จะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลกำไร ได้อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจโลก
ตลาดปลายน้ำ และตลาดค้าปลีกแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ ในประเทศไทย ยังไม่เติบโตเหมือนในตลาดต่างประเทศ บริษัทฯ จึงมีความตั้งใจ จะพัฒนาตลาดแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ ในธุรกิจก่อสร้างของไทย ให้ทัดเทียมนานาประเทศ เนื่องจากเป็นวัสดุก่อสร้าง ที่มีคุณสมบัติ ทดแทนไม้จริงได้เป็นอย่างดี และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เมื่อเทียบกับ เหล็ก ซีเมนต์ และพลาสติก
4 กลยุทธ์หลักสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน
นอกจากนี้ วนชัย กรุ๊ป ยังมีแผน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี 4 กลยุทธ์หลัก คือ 1. การบริหารวัตถุดิบไม้ แบบครบทั้งสวนทั้งต้น 2. การพัฒนาสินค้าใหม่ แผ่นไม้ OSB และ แผ่นวีเนียร์ 3. การทำธุรกิจพลังงานทดแทน ได้แก่ โรงไฟฟ้าชีวมวลและโซลาร์ รูฟ (Solar Roof) และ 4. การทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์
การบริหารวัตถุดิบ ไม้ยางพารา แบบครบทั้งต้น ครบทั้งสวนนั้น จะทำให้ บริษัทฯ ลดต้นทุนไม้ได้มาก ไม่ต้องพึ่งพาเศษไม้ จากอุตสาหกรรมโรงเลื่อย ซึ่งจะมีปริมาณไม่สม่ำเสมอ
ปัจจุบันสวนยางพารา ที่มีไม้อายุ เกินการกรีดยางได้แล้ว ยังไม่ถูกโค่น มีจำนวนมาก การใช้ไม้ของบริษัทฯ นั้น ส่วนกิ่งก้าน หรือไม้ฟืน จะนำไปผลิตแผ่น MDF และแผ่น OSB ส่วนตรงกลางลำต้น หรือ ไม้ท่อน จะนำมาปอกเป็นแผ่นวีเนียร์ เศษจากการปอกวีเนียร์ ก็จะนำไปทำปาร์ติเกิ้ลบอร์ด (Particleboard) และรากไม้ ก็จะนำไปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล
“วนชัย กรุ๊ป” จะเป็นผู้นำแห่งแรก ในการพัฒนาสินค้าใหม่ แผ่น OSB และ แผ่นวีเนียร์
ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในประเทศไทย ทำให้สามารถใช้ไม้ยางพารา ได้ทั้งสวนทั้งต้น สินค้าใหม่สองตัว ยังมีราคาขายที่สูงที่สุด ในกลุ่มสินค้าแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ โรงงาน OSB แห่งใหม่ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี มีมูลค่าการลงทุน 2,300 ล้านบาท จะก่อสร้างเสร็จภายในปีนี้
นายวรรธนะกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้เริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ โดยวัตถุดิบ คือเศษเปลือกไม้ ที่เหลือจากการผลิตในโรงงาน และรากไม้ ที่เหลือจากโค่นไม้ยางพารา ที่หมดอายุ และจะดำเนินโครงการ โรงไฟฟ้าชีวมวล ที่จังหวัดชลบุรี และ จังหวัดสระบุรีด้วย
นอกจากนี้ ยังได้เริ่มใช้พลังงานไฟฟ้าโซลาร์ รูฟ (Solar Roof) ที่โรงงานสระบุรีแล้ว ในปีนี้ มีกำลังการผลิต 3.5 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต ได้อย่างมากเช่นกัน และจะดำเนินโครงการโซลาร์ รูฟ ที่โรงงานชลบุรี และ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อไปด้วย
การจัดตั้งบริษัทฯ ใหม่ “วนชัย โลจิสติกส์” ในปีนี้ เพื่อทำหน้าที่ บริหารจัดการ ด้านโลจิสติกส์ รองรับการเติบโตด้านการขายสินค้า ภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการเข้าถึง และให้บริการลูกค้าทั่วประเทศ ได้ดีสมบูรณ์ ควบคู่กับการลดต้นทุน
เปิดศูนย์เรียนรู้ แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
ด้าน นางสาวภัทรา สหวัฒน์ กรรมการ บริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด บริษัทย่อย ของวนชัย กรุ๊ป ระบุว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายพัฒนาตลาดการค้าปลีก และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป โดยบริษัทฯ มีสำนักงานใหญ่ ที่สะพานพระราม 7 กรุงเทพฯ จัดตั้งให้เป็นศูนย์เรียนรู้ แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ได้ทดสอบ และเรียนรู้การใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ของบริษัทฯ นอกจากนั้น บริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด จะเปิดร้านเรือธง ตามหัวเมืองใหญ่ และสาขาอื่นๆเป็นลำดับต่อไป โดยจะมีทั้งร้านค้าแบบสแตนด์อโลน และ ร้านค้าที่ร่วมกับพันธมิตร เริ่มต้นด้วยการจับมือกับกลุ่มไดนาสตี้ ผู้นำในอุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิค
“ภายในปี 2566 เราตั้งเป้าหมายจะมี 100 สาขา ทั่วประเทศไทย พร้อมมีการขายออนไลน์ ซึ่งยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านบาท ตามการขยายตัวของสาขา ทั้งนี้ภายในสิ้นปี 2562 จะเปิดได้ 20 สาขาร่วมกับกลุ่มไดนาสตี้ คาดจะสร้างยอดขายในปีนี้จำนวน 300 ล้านบาท และภายในปี 2564 จะเปิดได้อีก 60 สาขา จะมียอดขาย 4,000 ล้านบาท”
การเปิดตัวร้านค้า “วู้ดสมิตร (Woodsmith)” มีเป้าหมายที่จะพัฒนาสินค้าแบบใหม่ที่ตลาดยังไม่คุ้นเคย แต่เมื่อได้รับการตอบรับแล้ว สินค้าของแบรนด์ “วนชัย” จะช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ตอบสนองไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ได้ในราคาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการวางจำหน่ายสินค้า ให้กับโมเดิร์นเทรด ที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน ก็จะทำควบคู่กันต่อไป ทั้งสินค้าภายใต้ชื่อแบรนด์ “วนชัย” และสินค้ารับจ้างผลิต (OEM)
บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ VNG ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2486 โดยเริ่มจากธุรกิจ โรงเลื่อยจักร ก่อนจะพัฒนาเป็นผู้ผลิตไม้อัด Wood-based Panel และ ก้าวมาเป็นผู้ผลิตแผ่นไม้ทดแทนธรรมชาติ Wood-based Panel มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย อาทิ Particleboard MDF Board OSB Laminate Flooring บานประตูไม้ HDF ผลิตภัณฑ์ตกแต่งผนัง ผลิตภัณฑ์ไม้พื้นและบัว และ ผลิตภัณฑ์ไม้พื้นบันได และ ไม้ราวจับ บริษัทฯ มีกระบวนการผลิต สมบูรณ์แบบครบวงจร สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ มีคุณภาพสูง สวยงาม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีความปลอดภัย ได้มาตรฐานโลก