onlinenewstime.com : อีกความก้าวหน้า ของเทคโนโลยีนิติวิศวกรรมและดิจิทัลในประเทศไทย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย ผศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดี และ ผศ.ดร. คงฤทธิ์ หันจางสิทธิ์ หน.ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ผนึกความร่วมมือ ด้านงานวิจัย กับศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 สำนักงานตำรวจแห่งชาติจังหวัดนครปฐม โดย พันตำรวจเอก ชูชาติ โชคสถาพร รองผู้บังคับการ และนายตำรวจระดับผู้กำกับการ
เข้าเยี่ยมชม ศูนย์ห้องปฏิบัติการและฝึกอบรม การตรวจพิสูจน์หลักฐานด้านนิติวิศวกรรม (Digital Forensic Innovation and Training Center : DFIT) ที่ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยี ณ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ม.มหิดล ห้องปฏิบัติการเชื่อม ห้องปฏิบัติการไมโครสโคป และห้องปฏิบัติการวิจัย ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ เพื่อร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิต และความปลอดภัยของประชาชน จากอาชญากรรมไซเบอร์ และเสริมสร้างสังคมก้าวหน้า ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
ผศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “เทคโนโลยีดิจิทัลนำมาซึ่งประสิทธิภาพ ความเจริญก้าวหน้าขององค์กร ธุรกิจ และอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน นิติวิศวกรรม (Digital Forensic) ก็จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคง ปลอดภัยของประชาชน และแก้ปัญหาไซเบอร์ซีเคียวริตี้ คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่เพิ่มขึ้นได้ด้วย
แต่เนื่องจาก เป็นงานสืบสวนเฉพาะทาง ซึ่งประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน ยังขาดแคลนบุคคลากร ที่เชี่ยวชาญจำนวนมาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้เปิด หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (ภาคพิเศษ)หรือ Master of Engineering Program in Computer Engineering เป็นแห่งแรกของประเทศไทย นับตั้งแต่กลางปี 2013 โดยผลิตบุคคลากรผู้เชี่ยวชาญ ด้านงานสืบสวนพิสูจน์หลักฐาน ทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ นำไปสู่การสร้างมาตรฐาน การรองรับการพิสูจน์ ยืนยัน และวิเคราะห์หลักฐาน ทางด้านนิติวิศวกรรมที่แม่นยำและรวดเร็ว รวมไปถึงสร้างความร่วมมือ กับหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องกับงานนิติวิศวกรรมและกระบวนการยุติธรรม
อีกทั้งคณะวิศวะมหิดลยังมี ศูนย์นวัตกรรมและการเรียนรู้ด้านนิติวิศวกรรม หรือ Digital Forensic Innovation and Training Center (DFIT) ซึ่งให้บริการ พัฒนานวัตกรรม และสิ่งประดิษฐ์ทางนิติวิศวกรรม(Digital Forensic) ดำเนินงานเชิงสืบสวนมาตรฐานสากล อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น
จัดอบรมเผยแพร่ความรู้ ทางด้านความมั่นคงปลอดภัย ในระบบคอมพิวเตอร์ และงานทางด้านนิติวิศวกรรม เช่น จำลองการใช้งานโปรแกรมตรวจสอบ การตัดต่อตัดแต่งภาพ ที่ชี้ให้เห็นการหักเหของแสง ในจุดต้องสงสัยว่า ถูกตัดต่อภาพเพื่อนำไปสู่ การระบุความผิดปกติของภาพได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานการวิจัย และพัฒนาของนักศึกษาภายในศูนย์ DFIT
แม้ในปัจจุบันประเทศไทย จะมีการบังคับใช้ พระราชบัญญัติการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการลงมติเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ให้สอดคล้องกับหลักสากล และกฏหมายระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญ ของประเทศ บนเส้นทางสู่สังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ
ด้วยกรอบที่ชัดเจนว่า เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิใดบ้างเหนือข้อมูลนั้น ๆ วางแนวทางการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ละเมิดสิทธิ แต่เนื่องด้วย แนวโน้มของการกระทำความผิด โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ สร้างความเสียหาย ต่อทั้งองค์กร และตัวบุคคล รวมทั้งการล่อลวงต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นในทุก ๆ ปี
คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล จึงไม่หยุดนิ่ง ที่จะวิจัยพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถ ในการพัฒนาโปรแกรมตรวจสอบ สืบค้นหลักฐาน ที่ถูกจัดเก็บไว้บนเครือข่ายเน็ตเวิร์คต่างๆ เพื่อเพิ่มทักษะ และความเชี่ยวชาญ ในการใช้เครื่องมือ และซอฟต์แวร์ให้ถูกต้อง และเป็นไปตามมาตรฐานสากล
รวมทั้งจัดอบรมเผยแพร่ องค์ความรู้ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ กระบวนการเก็บรวบรวมหลักฐานดิจิทัล จากที่เกิดเหตุ ให้ถูกต้อง และครบถ้วน ตามมาตรฐานสากล และการทำงานด้านนิติวิศวกรรม ให้กับหลายหน่วยงานภาครัฐที่ เกี่ยวข้องกับงานนิติวิศวกรรม และกระบวนการยุติธรรมของประเทศ”