fbpx
News update

สทนช. หวัง”ธนาคารน้ำใต้ดิน” เป็นทางออกเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม-แล้งในชุมชน

www.onlinenewstime.com : สทนช. มอบกรมทรัพยากรน้ำบาดาล จัดทำหลักเกณฑ์มาตรฐานธนาคารน้ำใต้ดิน เร่งพัฒนาน้ำบาดาลมาใช้ประโยชน์ บริหารจัดการน้ำหลาก กักเก็บน้ำต้นทุนใช้หน้าแล้ง ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาด ในการอุปโภคบริโภคให้กับชุมชนได้อย่างเป็นระบบ หวังกระจายครอบคลุมทุกท้องถิ่น สอดรับกับแผนแม่บทน้ำฯ 20 ปี

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ถึงแนวทางการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาน้ำบาดาล ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ว่า การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เป็นนโยบายที่รัฐบาลประกาศชัดเจนว่าต้องให้ทุกชุมชนทุกหมู่บ้านเข้าถึง ซึ่งสถานการณ์น้ำต้นทุนในแหล่งน้ำผิวดินปัจจุบัน พบว่า หลายพื้นที่ไม่สามารถจัดหาน้ำผิวดินได้ โดยเฉพาะพื้นที่หมู่บ้านห่างไกลการเข้าถึงแหล่งน้ำ

น้ำบาดาลถือเป็นทางเลือกหนึ่ง ในการแก้ปัญหาน้ำอุปโภค – บริโภค การสร้างความมั่นคงทางการผลิตทั้งเกษตรและอุตสาหกรรม

รวมถึงการใช้น้ำบาดาล รองรับน้ำหลากในช่วงฤดูฝน โดยให้น้ำซึมลงสู่ด้านล่างโดยอาศัยเทคนิคทางวิชาการ ที่ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล จัดทำมาตรฐานการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินที่ชัดเจน ทั้งจุดรับน้ำเข้ารวมถึงจุดเชื่อมต่อ

สำหรับเงื่อนไขในการพิจารณาก่อสร้างธนาคารน้ำใต้ดินแยกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ

Cr.thainews
  1. มีความชัดเจนในเชิงพื้นที่ โดยมีการศึกษาความพร้อมตามหลักทางธรณีวิทยาแล้วว่าพัฒนาได้ โดยเบื้องต้นมี 3 พื้นที่ที่มีความพร้อม ได้แก่ บริเวณพื้นที่อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 500 แห่ง และพื้นที่จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดระยอง รวมจำนวน 30 แห่ง
  2. พื้นที่อาจจะมีความพร้อมแต่ยังต้องศึกษาให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นตามหลักวิชาการ
  3. มีข้อมูลผลการศึกษาชัดเจนแล้ว ว่าไม่สามารถพัฒนาธนาคารน้ำใต้ดินได้ ก็ต้องมีการเผยแพร่ให้ข้อมูล สร้างความเข้าใจให้กับหน่วยงานและประชาชน ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน

การพัฒนาธนาคารน้ำใต้ดิน แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านมลพิษและคุณภาพน้ำ เนื่องจากบางพื้นที่ สามารถจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินได้ แค่เพื่อช่วยชะลอหรือรองรับน้ำหลากเพียงอย่างเดียว แต่ไม่สามารถนำน้ำกลับมาใช้ประโยชน์ได้

ดังนั้น กรมทรัพยากรน้ำบาดาล จะต้องกำหนดพื้นที่ที่ชัดเจน โดยร่างหลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน และทำเป็นแผนหลักการพัฒนาธนาคารน้ำใต้ดินทั้งประเทศ และต้องนำผลศึกษาวิจัย รวมทั้งนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสำรวจความเหมาะสมของชั้นดิน และจัดหมวดหมู่การจัดทำธนาคารน้ำใต้ดินตามหลักวิชาการ ให้เป็นไปตามเป้าหมายของแผนแม่บทน้ำฯ 20 ปี โดยไม่ก่อให้เกิดมลภาวะในอนาคตด้วย

Cr.thainews

สำหรับแผนงานของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ภายใต้แผนแม่บทฯน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) (Master Plan) ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่

ด้านที่ 1 การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนา/ขยายเขตระบบประปา/เพิ่มประสิทธิภาพประปาหมู่บ้าน จำนวน 614 หมู่บ้าน และการพัฒนาน้ำดื่ม ให้ได้มาตรฐานและราคาที่เหมาะสม รวมทั้งสนับสนุนน้ำดื่มสะอาด ให้กับโรงเรียน จำนวน 4,015 แห่ง ปริมาณน้ำ 88 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 366,700 ครัวเรือน

ด้านที่ 2 การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต มีเป้าหมายในการจัดหาน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน จำนวน 31,222 แห่ง ปริมาณน้ำ 858 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ได้รับประโยชน์ 1,555,790 ไร่ และการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำ/ระบบส่งน้ำใหม่ จำนวน 236 แห่ง ปริมาณน้ำ 196 ล้าน ลบ.ม.

ด้านที่ 3 การบริหารจัดการ โดยมีแผนงานในการปรับปรุงกฎหมายทรัพยากรน้ำบาดาล การจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติทรัพยากรน้ำบาดาล 20 ปี การติดตามประเมินผล เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะและเพิ่มขีดความสามารถ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลในองค์รวม การพัฒนาระบบฐานข้อมูล สนับสนุนการตัดสินใจและระบบสนับสนุนการวางแผนการพัฒนาการใช้ประโยชน์ การศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านทรัพยากรน้ำบาดาล

รวมทั้งการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม การรับรู้และประชาสัมพันธ์ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลให้กับประชาชน โดยในปี 61-62 มีผลดำเนินงานตามแผนแม่บทน้ำฯ ดังนี้ ด้านที่ 1 การจัดการน้ำ อุปโภคบริโภค สามารถพัฒนา ขยายเขต และเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาหมู่บ้าน จำนวน 44 แห่ง และการพัฒนาน้ำดื่มสะอาดให้ได้มาตรฐาน และราคาที่เหมาะสม จำนวน 1,004 แห่ง และด้านที่ 2 การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต สามารถจัดการน้ำในพื้นที่เกษตรน้ำฝน ปริมาณน้ำ 72.44 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ จำนวน 102,130 ไร่