fbpx
News update

อินไซต์พัฒนาการ AI จากเวทีเสวนา Bloomberg’s Sooner Than You Think Tech Summit

onlinenewstime.com : ในวันที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI พัฒนาไปรวดเร็ว และได้เข้ามาปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คนเพื่อส่งเสริมให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น พัฒนาการแบบก้าวกระโดดนี้ ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเรียนรู้ และทำความเข้าใจได้ทัน

โลกวันนี้จึงตั้งคำถามมากมาย เกี่ยวกับอุบัติกาลของเทคโนโลยี AI ว่านี่เป็นสิ่งที่เราต้องอ้าแขนรับ หรือหวาดกลัว ภาคธุรกิจและสังคม ต้องรับมือกับเทคโนโลยีไปในทิศทางใดต่อในอนาคต

ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสซีบี อบาคัส ผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจทางการเงิน  ได้ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ด้านเทคโนโลยี AI ในฐานะผู้บริหารหนึ่งเดียวของไทยบนเวทีเสวนาระดับนานาชาติ “Sooner Than  You Think Tech Summit” ซึ่งจัดโดยสำนักข่าว Bloomberg ที่ประเทศสิงคโปร์

โดยได้ร่วมสนทนากับกับนักธุรกิจ และนักเทคโนโลยีชั้นนำของเอเชีย อย่าง Soo Boon Koh ผู้ก่อตั้ง iGlobe Partners บริษัท Venture Capital ชั้นนำของสิงคโปร์ และ Steve Leonard ซีอีโอของ SGInnovate องค์กรส่งเสริมนักวิทยาศาสตร์เพื่อธุรกิจด้าน Deep Tech ของรัฐบาลสิงคโปร์ ในประเด็นของเทคโนโลยี AI กับหัวข้อ “Great Leap Forward or Existential Threat”

ดร.สุทธาภา เปิดบทสนทนา สำหรับประเด็นความกังวลว่า เมื่อเทคโนโลยี AI พัฒนาอย่างเต็มที่ จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ในทุกด้าน ว่า “AI นั้นยังห่างไกลจากการทำงานได้ เปรียบเสมือนสมองมนุษย์มาก แต่เราสามารถเขียนโปรแกรมให้ AI สื่อสารกับมนุษย์ได้เข้าใจง่าย และที่ผ่านมาเทคโนโลยี AI ก็ได้เข้ามาสร้างประโยชน์ ให้กับมนุษย์ในการเสริมขีดความสามารถของมนุษย์ และจะมากยิ่งขึ้นอีกในอนาคต  

แต่สิ่งที่ต้องระวังมากกว่า คือเทคโนโลยีที่ทำให้ความสามารถของมนุษย์ด้อยลง  เช่น ส่งผลให้ผู้คนทำงานสอดประสานงานกันน้อยลง ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงเข้าหากัน ในระดับอารมณ์ความรู้สึกน้อยลง หรือแม้แต่ทักษะง่าย ๆ อย่างความสามารถในการจดจำทิศทาง แต่เทคโนโลยี AI ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ส่งผลให้เกิดการสร้างงานใหม่ ๆ ตลอดจนการจัดสรรทรัพยากร สู่งานต่างๆ ได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น”

AI ยังทำให้เกิดข้อกังวลว่า เทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ ดร.สุทธาภา ให้ความเห็นว่า “เทคโนโลยีไม่เพียงแต่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์ สำหรับงานแบบเดิม ๆ เท่านั้น แต่งานที่มีความยากและซับซ้อนซึ่งต้องใช้ทักษะในการประมวลข้อมูล AI ก็สามารถทำแทนได้เช่นกัน

สิ่งที่สำคัญคือการจัดสรรโยกย้ายทรัพยากรมนุษย์ ไปทำงานในแบบใหม่ ซึ่งปรากฏการณ์แบบนี้ อาจสร้างช่องว่างของความไม่เท่าเทียมทางเทคโนโลยี ระหว่างธุรกิจที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่ในมือและไม่มี

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น คงต้องย้อนกลับมาที่การส่งเสริม ให้ผู้คนมี “ความรู้ด้านดิจิทัล” (Digital Literacy) ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล อย่างกว้างขวาง เช่น การค้นข้อมูลออนไลน์ การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ พิจารณาความถูกต้อง น่าเชื่อถือของสื่อต่าง ๆ การลงทุนเพื่อสร้าง “ทักษะความรู้ด้านดิจิทัล” (Digital Literacy) เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะลดความเหลื่อมล้ำในยุคดิจิทัล”

เมื่อเทคโนโลยีเริ่มส่งผลใหญ่หลวง ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคน ประเด็นในเรื่องการควบคุม หรือกำกับดูแล ให้การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์กับทุกคนอย่างแท้จริง ย่อมกลายเป็นสิ่งที่สังคมโลกต้องหาคำตอบ ในเรื่องนี้ ดร.สุทธาภาเสริมว่า “AI ก็เหมือนกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เริ่มจากการสร้าง “นวัตกรรมใหม่” สู่ “การนำมาใช้ในวงกว้าง” จึงเกิด“ความรับผิดชอบต่อสังคม” หรือการกำหนดกฎระเบียบ มาควบคุมดูแล

ตัวอย่างหนึ่งคือ รถยนต์ ที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1885 กว่าจะเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ต้องใช้เวลาถึง 20 ปี และกว่าจะมีการออกกฎหมายบังคับใช้เข็มขัดนิรภัย ก็ผ่านไปแล้วถึง 60 ปี ในกรณีของ AI ก็ตามเส้นทางเดียวกันอย่างรวดเร็ว โดยที่แรงผลักดันจากสังคม จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีขอบเขต รวมถึงภาครัฐ ที่เข้ามาจับมือกับผู้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อร่วมมือสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย”

ดร.สุทธาภาทิ้งท้ายว่า “และท้ายที่สุด แม้ถึงวันที่พัฒนาการของ AI ไปได้ไกลถึงขีดสุดแล้ว จะมีสิ่งใดอีกที่ AI ยังไม่สามารถเข้ามาทำแทนมนุษย์ได้ “แน่นอนว่า AI ไม่มีทางมีความสามารถ ในการคิดเชิงนามธรรม  อันนี้ถือเป็นความสามารถที่โดดเด่นของมนุษย์ซึ่งหุ่นยนต์ หรือเครื่องจักรไม่สามารถเทียบเท่าได้”