fbpx
News update

อุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินั่ม ท็อกซิน ในการใช้ด้านเสริมความงาม อาจนำไปสู่ความล้มเหลวระยะยาวในการใช้เพื่อรักษาโรค

ซึ่งเรียกร้องให้เกิดการตระหนักรู้ และเพิ่มการรณรงค์ในหมู่ผู้ปฏิบัติงานด้านความงาม เกี่ยวกับความเป็นได้ของความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดื้อต่อ Botulinum Toxin A อย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่ ค.ศ. 1999 การฉีด Botulinum Toxin A (“BoNT-A”) เป็นวิธีการเสริมความงาม ที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก[1] และยังเป็นตัวเลือกในการรักษาลำดับต้น ๆ สำหรับโรคหลายอย่าง เช่น คอบิดเกร็งและภาวะกล้ามเนื้อแขนขาหดเกร็ง เป็นต้น

การใช้ BoNT-A เพื่อเสริมความงามทั่วโลกเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกิดความนิยมของคนไข้จำนวนมาก และมีการนำสารชนิดนี้ไปใช้เพื่อประโยชน์ที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก คาดว่าจะมีการใช้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเทรนด์ของการใช้ BoNT-A เพื่อเสริมความงามกำลังมาแรง ในหมู่คนไข้ที่อายุยังน้อย รวมทั้ง ปัจจัยรายได้เพิ่ม ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไข้มีแนวโน้มการเข้ารับบริการในคลินิกเสริมความงามสูงขึ้น

ทั้งนี้ ผลที่ได้จากการใช้ BoNT-A จะอยู่เพียงชั่วคราว และสลายไปตามกาลเวลา ส่งผลให้ต้องฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ที่ต้องการ

อย่างไรก็ตาม การได้รับ BoNT-A ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นโครงสร้างโปรตีนของเชื้อแบคทีเรีย ที่ไม่ได้มีในร่างกายมนุษย์ จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดี (หรือ ภูมิคุ้มกัน) ซึ่งหมายความรวมถึง neutralizing antibodies (NAbs) ซึ่งทำปฏิกิริยาต่อต้านกับการออกฤทธิ์ทางชีววิทยา

ผลคือ ร่างกายเกิดภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้าน หรือ secondary nonresponse (SNR) ที่เกิดจาก (NAbs) หมายถึงการที่ผลลัพธ์จากการรักษาลดลง หรือไม่เกิดขึ้นเลย หลังจากการรักษาครั้งที่สองเป็นต้นไป ซึ่งแตกต่างจากผลลัพธ์ที่ได้ตามต้องการในการรักษาครั้งแรก

จากงานวิจัยผู้บริโภค ซึ่งจัดทำโดย Merz Aesthetics® ร่วมกับ Frost & Sullivan ในปี พ.ศ. 2561 และ พ.ศ. 2564 ตามลำดับ พบว่ามีคนจำนวนเพิ่มมากขึ้น ตอบว่าประสิทธิผลของการรักษาด้วย BoNT-A ลดลง (ร้อยละ 69% ในปี พ.ศ. 2561 เทียบกับ ร้อยละ 79% ในปี พ.ศ. 2564)[2] ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่ จะแก้ไขปัญหาโดยการไปฉีดซ้ำบ่อยขึ้นและในปริมาณที่มากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ บทความฉันทามติ“อุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ของคนไข้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อเสนอแนะเพื่อลดความเสี่ยง” จึงจัดทำขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่อ BoNT-A อย่างต่อเนื่อง และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดี

รวมถึงให้ข้อพิจารณาบูรณาการด้านการแพทย์ ด้านจริยธรรม และด้านความงาม เพื่อการประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะเกิด SNR จาก NAb

เนื่องจากการรักษาด้วย BoNT-A มักเป็นการรักษาตลอดชีวิต กลุ่มผู้เขียนจึงเห็นว่าการใช้ BoNT-A ที่กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในระดับต่ำ จะเป็นวิธีการลดความเสี่ยงที่ร่างกายจะเกิดภาวะดื้อต่อ BoNT-A

ดร. วิลสัน โฮ แพทย์ศัลยกรรมพลาสติก ผู้อำนวยการ The Specialists: Lasers, Aesthetic & Plastic Surgery ประเทศฮ่องกง หนึ่งในผู้เขียนบทความฉันทามติ ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิคุ้มกันว่า “การเกิดภูมิคุ้มกันที่ต่อต้าน BoNT-A เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการประสาทวิทยา

โดยเคสที่ได้รับการรายงานส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ จะเกี่ยวข้องกับการรักษาทางระบบประสาท ซึ่งมีการใช้ขนาดยาที่สูงกว่าที่ใช้เพื่อการเสริมความงามอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มปัจจุบันในการใช้เพื่อเสริมความงาม แสดงให้เห็นว่าการใช้ BoNT-A เพื่อเสริมความงาม ขยายอย่างรวดเร็วไปสู่การใช้ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม และไม่นานมานี้ มีการนำไปใช้กับส่วนอื่น ๆ ของร่างกายด้วย

ดังนั้น ขนาดยาทั้งหมดที่ใช้ในกระบวนการเสริมความงาม อาจสูงเท่ากับที่ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเสริมความงามยึดถือกันมา ฉะนั้น ความเสี่ยงที่คนไข้จะสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่อต้าน BoNT-A ก็จะเพิ่มมากขึ้น”

ในขณะที่ยังไม่มีการวิจัยหรือการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ SNR ที่เกิดจากแอนติบอดีในการเสริมความงาม เวทีเสวนาของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามชั้นนำระดับนานาชาติเห็นว่ามีความเป็นไปได้ ที่กรณีนี้ได้รับการรายงานต่ำกว่าความเป็นจริงในเอกสารวิชาการทางการแพทย์

ในโอกาสเผยบทความฉันทามตินี้ ดร. โฮ กล่าวว่า “เรากำลังเรียกร้องให้แพทย์และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ร่วมมีบทบาทอย่างแข็งขัน ในการลดปัจจัยความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่อ BoNT-A โดยขอให้พิจารณาประวัติการรักษาของคนไข้ รวมถึงการใช้ BoNT-A ในการรักษาข้อบ่งใช้ที่หลากหลาย โดยแนวทางต่าง ๆ อย่างละเอียด

และชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบทางเลือกการเลือกรักษา ตลอดทั้งประวัติการรักษาของคนไข้ จากมุมมองทางการแพทย์ การใช้สูตร BoNT-A ในขนาดที่ต่ำที่สุดเท่าที่ทำให้เกิดผล จะต้องเว้นระยะเวลาการใช้ให้เหมาะสม จึงจะช่วยจำกัดการสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านได้ดี”

ข้อเสนอแนะสำคัญอีกประการหนึ่งจากเอกสารฉบับนี้ คือความสำคัญของการสร้างการตระหนักรู้ในหมู่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดื้อต่อ BoNT-A ซึ่งเป็นการเรียกร้องให้มีแนวปฏิบัติ ที่เป็นการร่วมมือกันและยึดคนไข้เป็นศูนย์กลาง การประเมินรายบุคคล และการอธิบายอย่างครอบคลุมกับคนไข้ตั้งแต่ต้นเกี่ยวกับการรักษาด้วย BoNT-A และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

รวมถึงเกิดภาวะดื้อต่อ BoNT-A และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ต่อการใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์ในอนาคต ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ อาจมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้คนไข้เข้าใจถึงผลกระทบของการรักษาต่อภาพรวมของสุขภาพในระยะยาว นอกเหนือจากผลลัพธ์ของการรักษาเพียงอย่างเดียว

บทความฉันทามติฉบับนี้เป็นบทความลำดับที่ 3 ซึ่งได้รับการสนันสนุนจาก Merz Aesthetics®  ที่กล่าวถึงหัวข้อเรื่องการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ที่ได้รับการตีพิมพ์ในรอบ 5 ปี ขณะที่บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ 2 ฉบับแรกมุ่งเน้นประสบการณ์ของผู้บริโภค ที่พบว่าการรักษาด้วย BoNT-A มีประสิทธิผลลดลง

บทความฉันทามติฉบับนี้ เป็นฉบับแรกที่แสดงถึงข้อเห็นพ้องในวงการนี้ ทั้งในระดับระหว่างประเทศและจากแพทย์ความงามจากหลากหลายสาขา (ดูตารางภาคผนวก ก เกี่ยวกับรายละเอียดของฉันทามติ)

ดร. ซาแมนตา เคอร์ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ ของ Merz Aesthetics®  กล่าวว่า “เราไม่เพียงแต่มีความรับผิดชอบต่อลูกค้าของเราเท่านั้น แต่ต่อคนไข้ของพวกเขาด้วย

นี่จึงหมายความว่า เราจะต้องแน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของเรา ได้รับมาตรฐานสูงสุดทั้งในแง่ความปลอดภัยและประสิทธิผล และจะทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์และสาธารณสุขสามารถแนะนำคนไข้ให้ตัดสินใจได้ถูกต้องสำหรับร่างกายและจิตใจของตนเอง”

ลอเรนซ์ เซียว ประธาน (APAC) ของ Merz Aesthetics® เสริมว่า เป้าหมายของเราในการจัดทำงานวิจัยผู้บริโภค อาทิ ประสบการณ์การดื้อต่อโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” (“Consumer Experience with Botulinum Toxin Resistance in Asia Pacific”)

และบทความฉันทามติของ ASCEND เป็นการสร้างความเข้าใจและเพิ่มการตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะการดื้อต่อ BoNT-A เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงามด้วยองค์ความรู้ทางการแพทย์ และเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า คนไข้จะได้รับความปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

เรามุ่งเน้นการขับเคลื่อนการตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้มาโดยตลอด ดังนั้นผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาในอนาคตร่วมกับแพทย์อย่างสมเหตุสมผล”

ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม ที่นี่


[1] The Aesthetic Society. Aesthetic Plastic Surgery National Databank Statistics 2019. The Aesthetic Society. 2019.

[2] จากการศึกษาทางการตลาดของผู้บริโภคในปี พ.ศ. 2564 “ประสบการณ์ภาวะต่อต้าน Botulinum Toxin ของผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” โดย Merz Aesthetics ร่วมกัน Frost & Sullivan ใน 8 ท้องที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ออสเตรเสีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทย) และรวมผู้ใช้ Botulinum toxin จำนวน 2,441 ราย อายุระหว่าง 21-55 ปี