fbpx
News update

เปิดงานวิจัย ‘คอนซูเมอร์ เทรนด์ 2017’ ชี้เทรนด์ 5 สองมาแรง

onlinenewstime.com : เอ็นไวโรเซลได้เปิดตัวงานวิจัย ‘คอนซูเมอร์ เทรนด์ 2017’ และชี้ชัดถึง 5 เทรนด์ที่คาดว่าจะมีผลกระทบในยุคปัจจุบัน โดยทำนายว่าการตลาดในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น

  • สองตัวตน พฤติกรรมบนโลกจริง และโลกดิจิทัล
  • สองจิตสองใจ ไม่สามารถคิด และตัดสินใจเองได้
  • สองยุคสองสมัย แสดงตัวตน และแบ่งแยกเจเนเรชั่นชัดเจน
  • สองเพศสองทางเลือก เผยตัวตนในกลุ่มสังคมมากขึ้น
  • ไม่สองฝักสองฝ่าย พบว่า 80% ตั้งใจจะกลับมารักกัน จะไม่ทะเลาะกันอีก และเริ่มต้นใส่ใจประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้น ในฐานะนักการตลาด และแบรนด์ ต้องคิดนำผู้บริโภค สู่การเปลี่ยนทิศทางการตลาดเข้าสู่ยุคใหม่เต็มตัว

น.ส. สรินพร จิวานันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นไวโรเซล ประเทศไทย จำกัด เผยว่า เทรนด์คอนซูเมอร์ปี 2017 มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนทั้งในด้านแบรนด์ ผู้ประกอบการ และพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้นักการตลาดต้องปรับกลยุทธ์การตลาด ด้วยการผสมผสานไอเดียและนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ เข้ากับเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคในยุคนี้ได้อย่างแม่นยำ โดยเน้นทิศทางการตลาดด้วย 5 เทรนด์หลัก

  1. สองตัวสองตน

คนรุ่นใหม่นั้นเติบโตมากับโลกดิจิตอล ตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เหมือนอยู่สองโลก คือ โลกจริง และโลกดิจิตอล ส่งผลให้ทุกคน เรียนรู้ที่จะอยู่กับอีกโลกหนึ่ง เหมือนมีโลกสองใบ ความเป็น 2 ตัว 2 ตน ในคนรุ่นใหม่ ที่มีความซับซ้อน ในการใช้ชีวิตในโลกจริง และโลกดิจิตอล

ดังนั้นเราจะมองผู้บริโภค เสมือนเขาอยู่บนโลกใบเดียวไม่ได้อีกต่อไป เพราะเขาอยู่บนโลกสองใบในเวลาเดียวกัน ซึ่งการตลาด ที่เป็นตัวอย่างที่ดี กับการมีชีวิตแบบสองตัวสองตนนี้ คือ Pokemon Go หนึ่งในปรากฏการณ์ที่มียอดดาวน์โหลดกว่า 7 ล้านคนใน 1 อาทิตย์ และเฉลี่ยเวลาการเล่น ที่มากกว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คทั่วไป สามารถผสมผสานโลกจริง และโลกดิจิตอล ได้อย่างแนบเนียน

เราได้เห็นคนที่อาจจะไม่เคยไปสวนสาธารณะ ไปเดินเพื่อหามอนส์เตอร์ที่ดีกว่าคนอื่น สร้างพฤติกรรมในโลกจริงจากโลกดิจิตอล นับเป็นการตลาดที่ใช้ชีวิตในสองโลก มาปรับใช้อย่างประสบความสำเร็จ หรือในประเทศญี่ปุ่น มีแอปพลิเคชั่น เทเลฟาร์ม (Telefarm) ให้ผู้เล่นซื้อเมล็ดพันธุ์ รถน้ำ ปลูกผักบน แอป ด้วยเงินตัวเอง แล้วเมื่อผลผลิตงอกงาม ทีมงานก็จะเก็บผักเหล่านั้น มาส่งที่บ้าน

ซึ่งแสดงให้เห็นการผนวกโลกจริง และโลกดิจิตอลได้เป็นอย่างดี โดยมีเวอร์ชวล เรียลลิตี้ (Virtual Reality) หรืออาร์ติฟิเชี่ยล อินเทลลิเจ้นส์ (Artificial Intelligence) เป็นเทคโนโลยี ที่ทำการตลาด เพื่อรองรับพฤติกรรม แบบสองตัวสองตนของผู้บริโภคนี้ ซึ่งคอนเทนต์หรือ เอ็กซ์พีเรียนส์ทั่วไป ไม่เพียงพออีกต่อไป เรียกว่าต้องสร้าง อิมเมอร์ซีฟ เอ็กซ์พีเรียนส์ (Immersive Experience) ที่ผนวก 2 โลก ให้ผู้บริโภคอิน แล้วรู้สึกเสมือนจริงให้ได้

  1. สองจิตสองใจ

อาการ สองจิตสองใจ คือ อาการที่คิดเอง ตัดสินใจเองไม่ได้ ซึ่งนิสัยนี้ พัฒนามาจากการเชื่อรีวิว และในอนาคต จะเชื่อเทคโนโลยี ที่เข้ามาช่วยตัดสินใจแทน พัฒนาการของเทคโนโลยี ทำให้ชีวิตง่ายแสนง่าย ทำให้ชีวิตคนรุ่นใหม่ แทบไม่ต้องเจอปัญหา เมื่อไม่เจอปัญหา สมองจึงไม่ค่อยมีโอกาส ที่จะได้ฝึกใช้คิดแก้ปัญหา

สถิติไอคิว (IQ) มนุษย์ ชี้ให้เห็นว่า IQ มนุษย์ ลดลงเรื่อยๆ และเริ่มเข้าสู่สังคม สองจิตสองใจ ที่ต้องให้แบรนด์เป็นคนคิด ตัดสินใจว่าอะไรเหมาะสมกับตัวเอง ผู้บริโภคซึ่งโตมาในยุคนี้ มีสมองที่ทำงานแบบโดดไปโดดมา เช่น ทำงานอยู่ แป๊บๆ ต้องเล่นเน็ต ดูเน็ตอยู่ เดี๋ยวมีอะไรป๊อปอัพขึ้นมาอีก เช่น สินค้าลดราคา แฟชั่นมาใหม่ โฆษณา สมองก็โดดไปดูอีก เดี๋ยวไลน์เด้ง สมองก็โดดไปอีกแล้ว โดดไปๆ มาๆ ทำให้สมอง ไม่มีเวลาได้พักอยู่สงบๆ ได้คิด พิจารณา

เพราะการจะคิดวิเคราะห์เรื่องหนึ่ง สมองต้องใช้สมาธิที่ยาวเพียงพอ การที่สมองโดดไปโดดมา ไม่มีสมาธิยาวเพียงพอที่จะคิด วิเคราะห์ ส่งผลโดยตรง ต่อความสามารถในการตัดสินใจ นำมาซึ่งการตลาดยุคใหม่ ที่เรียกว่า ‘แบรนด์ เลท ดีมานต์’ (Brand LED Demand) คือ แบรนด์ต้องเป็นคนคิดแทนผู้บริโภค ต้องรู้ว่าเขาต้องการอะไร เหมาะสมกับอะไร ให้ถูกที่ ถูกเวลา

ทุกวันนี้ Facebook Google Amazon และอื่นๆ อีกมากมาย ต่างเก็บข้อมูลผู้บริโภคทุกอย่าง ที่ดูบนอินเตอร์เน็ต และทำการประมวลว่าผู้บริโภคน่าจะชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ ที่เหมาะกับผู้บริโภคคนนั้นๆ เรียกว่ารู้ละเอียด กว่าตัวผู้บริโภคเองเสียด้วยซ้ำ

ซึ่งสถิติบ่งบอก ถึงการเติบโตของผู้ช่วยอัตโนมัติว่าโตมาก และรวดเร็ว จาก 390 ล้าน ในปี 2015 เป็น 1.8 พันล้าน ภายในปี 2021 ยกตัวอย่าง IBM Watson ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เรียกว่า ค็อกนิทีฟ คอมพิวติ้ง (Cognitive Computing) เป็นสมองกลอัจริยะ ที่โต้ตอบกับมนุษย์ได้ พร้อมแนะนำผู้บริโภคได้ทุกอย่าง

Northface ได้ใช้เครื่องมือนี้ แนะนำสินค้าที่เหมาะสมให้ผู้บริโภค เช่น จะซื้อเสื้อตัวหนึ่ง Watson ก็จะวิเคราะห์สภาพอากาศ ที่จะไป ประวัติสุขภาพของผู้ซื้อ และดาต้าเบสส่วนตัวอื่นๆ เพื่อแนะนำสินค้า ที่เหมาะสมกับผู้บริโภคคนนั้น และโต้ตอบแบบอินเตอร์แอคทีฟคุยกัน ระหว่างผู้บริโภค และ Watson และนี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อย และเป็นเพียงการเริ่มต้นของยุค Brand LED Demand

  1. สองยุคสองสมัย

เราไม่เคยได้ยินการ Discriminate หรือ การแบ่งแยกเจเนเรชั่น มากเท่านี้มาก่อน เช่น เธอเป็นเจน Y เจน Z ส่วนฉัน เจน X แต่เราจะได้เห็น การแบ่งแยกคนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่ และการแสดงตัวตน ตามเจเนเรชั่น ที่แบ่งแยกอย่างชัดเจนขึ้น โดยไม่อยู่แบบกลมกลืนกัน อย่างสมัยก่อนๆ และแน่นอน ทำให้สังคมเปลี่ยนไป

คนรุ่นใหม่ เป็นเจนที่ไม่ชอบทำงานออฟฟิศ เราจะเห็นอาชีพฟรีแลนซ์ การเป็นนายตัวเอง รวยลัด เป็นเรื่องปกติ โดยอาศัยความสามารถ ทางด้านเทคโนโลยี มาช่วยในการทำงาน ดังนั้น เราจะเห็นไลฟสไตล์แบบใหม่ คือ การมี โค-เวิร์คกิ่ง สเปซ (Co-working space) เวิร์คพ็อด (Workpod) พื้นที่ทำงานขนาดเล็ก ที่มีอินเทอร์เน็ต ไว-ไฟ เครื่องถ่ายเอกสาร สแกนเนอร์ ปลั๊กไฟ

โดยสมาชิกสามารถใช้ Workpod ที่มีตามสถานที่ต่างๆ เช่น สนามบิน ได้ทุกแห่งทั่วโลก และกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้เอง ที่ผลักดันให้ MASS Product มีความนิยม ที่ลดน้อยลง และมีการ Customized และ Personalized product มากยิ่งขึ้น

ใครที่ยังผลิตของ MASS ก็ต้องตระหนักถึงเทรนด์นี้ ขณะที่คนรุ่นเก่า เจน X หรือ Baby Boomer ที่เป็นวัยของเจ้านาย เจ้าของ ก็ต้องปรับตัว หันมาใช้หุ่นยนต์ทำงานแทน เมื่อหาคนทำงานรุ่นใหม่ เข้ามาไม่ได้ หรืออยู่ไม่ทน

เช่น ชาวนาในเมืองจีน ใช้โดรนในการทำฟาร์มแทนมนุษย์ หรือ Foxconn ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก (มี Apple เป็นขาประจำ) ได้ประกาศนำหุ่นยนต์อัตโนมัติ มาใช้แทน โดยปลดคนงานกว่า 60,000 คน งานด้านเอกสาร ที่เคยใช้มนุษย์จัดการ ก็ได้ถูกหุ่นยนต์หรือซอฟแวร์ แย่งงานเสียแล้ว นักการตลาด ควรจะต้องติดตามไลฟสไตล์แบบใหม่นี้ ที่ส่งผล ให้มนุษย์ทำงานมีความซับซ้อน กว่าการทำงานในออฟฟิศธรรมดาๆ

  1. สองเพศสองทางเลือก

กลุ่มเกย์ เลสเบี้ยน แปลงเพศ หรือเรียกทับศัพท์สั้นๆว่า LGBT ในสังคมนั้น คาดเดาว่ามีอยู่อย่างน้อย 10% และอาจมากถึง 20% ที่ตัวเลขไม่มีความชัดเจน เนื่องจากเป็นตัวเลขผลวิจัยที่ขึ้นอยู่กับการยอมรับของผู้ตอบ

กลุ่มนี้ไม่ใช่เทรนด์ที่จะหายไป แต่จะมีความเด่นชัด มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเซกเมนต์ (Segment) ใหม่ที่ต้องจับตามอง เนื่องจากมีการยอมรับ มากขึ้นในสังคม โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่ยอมรับ LGBT (เกือบ 80%) มากกว่าคนรุ่นก่อน (20%) ที่สำคัญ เป็นเจนที่กล้าที่จะเปิดเผยตัวว่าเป็น LGBT มากขึ้น

โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้น 35% ในกลุ่มเจน Millennium โอลิมปิกล่าสุดที่ผ่านมา ที่บราซิล (2016) มีนักกีฬา 56 คน ที่ยอมรับว่าเป็น LGBT สูงกว่า 8 ปีก่อน (2008) ถึง 560% และปัจจุบัน มีการยอมรับการแต่งงาน ของรักร่วมเพศมากขึ้น โดยปัจจุบันมีถึง 23 ประเทศที่กฎหมายอนุญาติ แน่นอนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ไม่มีภาระทางครอบครัว ที่ต้องเลี้ยงลูก จึงเป็นกลุ่มที่ใช้เงิน กิน อยู่ แต่งตัว ท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และมีสไตล์ และแน่นอน เป็นกลุ่มที่ผลักดัน ให้เกิดความนิยม ในไลฟ์มิวสิคอีดีเอ็ม (EDM) อีเว้นท์ เช่น ไวท์ ปาร์ตี้ (White Party) เป็นต้น

รวมถึงผลักดัน ให้เกิดบริบทในสังคมใหม่ๆ เช่น นิยมรับบุตรบุญธรรม เป็นครอบครัว แบบ พ่อ-พ่อ แม่-แม่ ซึ่งจะสร้างค่านิยมอะไรใหม่ๆ ต่อไปอีกหรือไม่ ก็ต้องรอจับตาดูกันต่อไป ที่แน่ๆ หลายผลิตภัณฑ์ ได้เริ่มออกมารองรับ การเปิดเผยตัวตน ของคนกลุ่มนี้แล้ว เช่น

LEXUS ที่เมื่อก่อน มีแต่ดีไซน์ของผู้หญิงหรือผู้ชาย ปัจจุบันมีดีไซน์ของ LGBT หรือ ธนาคาร ที่เริ่มออกผลิตภัณฑ์ วางแผนการเงินให้สำหรับกลุ่ม LGBT ที่อาจไม่มีลูกหลานคอยดูแล แม้กระทั่งวางแผนการเงิน ให้ครอบครัวแบบ พ่อ-พ่อ แม่-แม่ ว่าควรดูแลการเงิน สำหรับบุตรบุญธรรมอย่างไร และอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ด้านสุขภาพ ที่เสนอผลิตภัณฑ์การตรวจรักษาเฉพาะกลุ่ม LGBT เพราะเป็นกลุ่ม ที่อาจมีฮอร์โมน และร่างกายที่แตกต่างออกไป เป็นต้น

  1. ไม่สองฝักสองฝ่าย

ด้วยโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทำให้มนุษย์ไม่ต้องเจอหน้าตากัน และในทางจิตวิทยา เมื่อไม่เห็นหน้ากัน และไม่รู้จักกันส่วนตัว ก็จะไม่ค่อยเกรงใจ และวางตัวกันเท่าไร มนุษย์จึงดรามากันได้เต็มที่ และสามารถทะเลาะ เกลียดกันได้ โดยไม่แม้จะรู้จักกันด้วยซ้ำ มนุษย์โซเชียล ก็ไม่ต่างอะไร กับการแบ่งกลุ่มในโลกกายภาพ คือ จะจับกลุ่มกัน กับคนที่มีความคิดเห็นคล้ายกัน โดย 1 ใน 5 จะ Unfriend กับคนที่มีความเห็นไม่ตรงกัน

พฤติกรรมลักษณะนี้สนับสนุน การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อย่างที่เห็นๆ กันในสังคมไทย แต่หลังจากการสูญเสียจิตวิญญาณของชาติ คนไทยเกิดกระแสการทำดี และความสามัคคี ซึ่งเอ็นไวโรเซล ได้ทำการสำรวจในประชาชน เพื่อแปลงกระแส ให้เป็นตัวเลขที่จับต้องได้ และพบว่า 80% ตั้งใจว่าจะกลับมารักกัน จะไม่ทะเลาะกันอีกต่อไป

ซึ่งสร้างปรากฏการณ์จิตอาสา การทำดี การเห็นแก่สังคม สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นมีคนไทยมากกว่า 60% ที่ปฏิญาณว่า จะดำเนินรอยตามเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งรากฐานแนวคิดนี้ คือ ส่งเสริมให้คนพึ่งพาตัวเอง เมื่อพึ่งพาตัวเองได้ ก็มีความสุขกายสุขใจ เมื่อทุกคนมีความพอใจ และความพอดี ก็จะไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น

สังคมก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ซึ่งนี่เป็นเทรนด์การทำ CSR ทั่วโลก ที่จะเน้นการใส่ใจทั้งระบบ ทั้งผู้บริโภค ชุมชน สิ่งแวดล้อม และสัตว์ เช่น Saltwater Brewery ที่ผลิตผลิตภัณฑ์ที่คนกินได้ และสัตว์ทะเลก็กินแพคเกจจิ้งที่ทำมาจากพืชได้ เป็นต้น”

(หมายเหตุ: เอ็นไวโรเซล ทำการสำรวจผู้บริโภค หญิงชาย อายุ 18-55 ทั่วประเทศ จำนวน 500 คน)