Onlinenewstime.com : ‘ทีวี ไดเร็ค’ หรือ TVD ประกาศแผนธุรกิจปี 2021 ชูกลยุทธ์ Harmonized Channel ผสานความแข็งแกร่งทุกช่องทางขาย ทั้งทีวีโฮมช้อปปิ้ง อีคอมเมิร์ซ คอลล์เซ็นเตอร์ เพื่อหวังผลลัพธ์เพิ่มยอดขายทางออนไลน์ ดันสัดส่วนเพิ่มเป็น 15% ในปีนี้ จากเดิม 8% ในปีที่ผ่านมา ผนึกพาร์ทเนอร์พัฒนาระบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน รีโพซิชั่นนิ่งทีวีโฮมช้อปปิ้ง รุกเสริมทีมคอลล์เซ็นเตอร์เป็น 500 ที่นั่ง จากสิ้นปีที่ผ่านมา 300 ที่นั่ง พร้อมวางยุทธ์ศาสตร์ทรานส์ฟอร์ม ABPO บริษัทในเครือ ก้าวสู่ Tech Company
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางทีวีและออนไลน์ เปิดเผยว่า หลังจากมารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ได้วางนโยบายขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ ‘Harmonized Channel’ โดยการใช้ศักยภาพช่องทางการขายต่างๆ ของบริษัทฯ ได้แก่ ทีวีโฮมช้อปปิ้ง คอลล์เซ็นเตอร์ ร้านค้าปลีก TVD Shop และอีคอมเมิร์ซ เพื่อผลักดันการเพิ่มยอดขายจากช่องทางออนไลน์อย่างเต็มตัว
การวางกลยุทธ์ดังกล่าว สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต ที่หันมาเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น สามารถขายสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้บริษัทฯ จะสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และระบบอินเทอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้ต้นทุนที่ถูกลง เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในวงกว้าง โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนยอดขายช่องทางออนไลน์ในปีนี้เป็น 15% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 8%
โดยแผนงานช่วงไตรมาส 1-2 ของปีนี้ จะรุกเพิ่มยอดขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม Social Commerce โดยการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่น่าสนใจ ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น TikTok เป็นต้น พัฒนาระบบเว็บไซต์ (www.tvdirect.tv) และแอปพลิเคชัน TVD ให้สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
รวมถึงผนึกความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คือ บริษัท โมโม่ดอทคอม จำกัด หรือ Momo.com Inc. (MOMO) ผู้นำธุรกิจโฮมชอปปิ้ง และอีคอมเมิร์ซรายใหญ่จากประเทศไต้หวัน นำเทคโนโลยีและฟีเจอร์ใหม่ๆ ในการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ พัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบสนองการใช้งานของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVD กล่าวว่า สำหรับช่องทางการขายอื่นๆ บริษัทฯ วางแผนรีโพซิชั่นนิ่งธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งครั้งใหญ่ จากปัจจุบันมีทีวีดาวเทียมทั้งหมด 28 ช่อง
โดยวางตำแหน่งทางการตลาดของแต่ละช่องใหม่เป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มสินค้าราคาย่อมเยา 2. กลุ่มสินค้าจับตลาดกลาง-บน 3. กลุ่มสินค้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกาย 4.ก ลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 5. กลุ่มสินค้าสำหรับตลาดแมสในราคาเข้าถึงได้ เสมือนยกธุรกิจค้าปลีกมาอยู่ในทีวีโฮมช้อปปิ้ง และ 6. กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม
ขณะเดียวกัน จะรุกเพิ่มจำนวนคอลล์เซ็นเตอร์เป็น 500 ราย จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 300 ราย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าเดิมของ TVD ที่มีอยู่กว่า 10.1 ล้านราย และรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ เพื่อหวังผลในการสร้างยอดขายช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้มีแผนพัฒนาร้านค้าปลีก TVD Shop โดยนำเทคโนโลยี เข้ามาปรับใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อสินค้าแก่ผู้บริโภค และต่อยอดสู่การตัดสินใจซื้อในช่องทางออนไลน์
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 28.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111.81% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.38 ล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์และมาตรการเคอร์ฟิว นำมาสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานที่บ้าน (Work From Home) ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น จากการที่ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมมารับชม และเลือกซื้อสินค้าทางทีวีโฮมช้อปปิ้งในช่วงล็อกดาวน์ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ได้เพิ่มประสิทธิภาพบริหารและควบคุมค่าใช้จ่าย
ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 3,736.95 ล้านบาท ชะลอตัวจากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 4,280.55 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า และผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับหลังสิ้นสุดมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าทางทีวีโฮมช้อปปิ้งลดลงเล็กน้อย
ขณะที่ ดร.อาทิตย์ น้อยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอบีพีโอ จำกัด (ABPO) ในเครือ TVD กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน ที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ABPO ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการปรับโครงสร้างและควบรวมธุรกิจ B2B (Business to Business) ของ บมจ.ทีวีไดเร็ค ได้วางยุทธศาสตร์ ทรานส์ฟอร์มองค์กร สู่การเป็นบริษัท Tech Company จากปัจจุบัน ที่เป็นผู้ดำเนินธุรกิจขายสินค้าและให้บริการที่หลากหลาย เพื่อสร้างฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในยุคดิจิทัล
ปัจจุบัน ABPO มีแผนเข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ Tech Company และได้ทำการลงทุนใน BLOCKFINT บริษัท FINTECH สตาร์ทอัพ และ Blockchain Technology ผู้พัฒนาระบบซอฟท์แวร์ แอปพลิเคชันสำหรับการสร้าง Neo Banking (ธนาคารดิจิทัลในโลกออนไลน์) ซึ่งเป็นระบบธนาคารรูปแบบใหม่ ที่จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจธนาคารในอนาคต และ บริษัท EAT LAB ผู้พัฒนาระบบ AI Core Tech เพื่อช่วยผู้ประกอบการร้านอาหารต่างๆ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค การพัฒนาโปรโมชั่น ที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“บริษัทฯ มีแผนงานเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ มากขึ้น โดยให้ความสนใจขยายการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพด้าน Food Ordering (สั่งอาหาร) เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนและก้าวสู่การเป็น Tech Company พร้อมทั้งมีเป้าหมายในอนาคตที่จะนำ ABPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป” ดร.อาทิตย์ กล่าว