fbpx
News update

แก้วิกฤติขยะทะเลไทย “ปรับมุมมองขยะ” ให้เป็นวัตถุดิบมากกว่าของเหลือทิ้ง

onlinenewstime.com : จากสถานการณ์ที่มีการพบแพขยะพลาสติก ยาวกว่า 10 กิโลเมตร ในทะเลนอกเขตชายฝั่งจังหวัดชุมพร และการตายของวาฬนำร่อง ที่พบถุงพลาสติกถึง 85 ชิ้นในท้อง อีกทั้งยังมีกรณีเกาะสีชัง ที่เป็นตัวอย่างปัญหาของแหล่งขยะ ที่มาจากการขนส่งระหว่างประเทศ ทำให้ปัญหา “ขยะทะเล” ได้รับความสนใจจากสังคมอีกครั้ง

ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงมาตรการบริหารจัดการขยะทั้งบนบกและในทะเล ที่ขาดประสิทธิภาพ ประกอบกับการตีพิมพ์งานวิจัยของ Jambeck ในวารสาร Science เมื่อปี พ.ศ.2558 ที่จัดอันดับให้ประเทศไทย เป็นอันดับ 6 ของประเทศที่มีปริมาณขยะพลาสติก ที่ขาดการบริหารจัดการที่ถูกต้อง

จึงเป็นที่มา ของการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฉบับย่อเกี่ยวกับสถานการณ์ขยะทะเล แนวทางการป้องกันและแก้ไขสำหรับประเทศไทย ภายใต้โครงการการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฉบับย่อ ในประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทย พ.ศ. 2559-2561 โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

ขยะทะเล ส่วนใหญ่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ และส่วนใหญ่เป็นขยะพลาสติก มีน้ำหนักเบาไม่สามารถย่อยสลายได้ในเวลาอันสั้น ถูกกระแสน้ำและคลื่นลม พัดพาไปในที่ที่ห่างไกลจากแหล่งกำเนิด

โดยขยะพลาสติกส่วนใหญ่ เป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ถุงพลาสติก ขวด ภาชนะใส่อาหาร และวัสดุที่ใช้สำหรับบรรจุหีบห่อ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น สายรัด แผ่นพลาสติก เครื่องมือประมง เช่น แห อวน ลอบ เป็นต้น

ศ.ดร. เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า ขยะทะเลมีทั้งขยะที่เกิดจากการท่องเที่ยว การทำประมง ภาคอุตสาหกรรม การเดินเรือพาณิชย์ รวมถึงการทิ้งขยะลงทะเล โดยผิดกฎหมาย

โดยแหล่งที่มาของขยะทะเลส่วนใหญ่ เกิดจากกิจกรรมบนฝั่ง เช่น ชุมชน แหล่งทิ้งขยะบนฝั่ง บริเวณท่าเรือ และการท่องเที่ยวชายหาด และจากกิจกรรมในทะเล เช่น การขนส่งทางทะเล การประมง และการท่องเที่ยวทางทะเล เป็นต้น และขยะพลาสติกที่พบในทะเล ส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมบนบก ถึงร้อยละ 80

ดังนั้น หากยังไม่รีบแก้ไข หรือป้องกัน จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งทำลายระบบนิเวศปะการัง การตายของสัตว์ทะเลหายาก อย่างเต่าและโลมา ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พบว่า ในปี พ.ศ. 2560 เต่าและโลมา กลืนขยะไปถึงร้อยละ 2-3 บางตัวถูกอวนหรือเชือกรัดกว่าร้อยละ 20-40

นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ (การท่องเที่ยว) เรื่องของทัศนียภาพเสื่อมโทรม ที่เกิดจากปัญหาขยะทะเล ปัญหาสุขภาพ และอาหารที่มีผลกระทบจากสารพิษ เนื่องจากพลาสติก สามารถถูกย่อยเป็นขนาดเล็กลงได้ โดยแสงแดด (photodegradation) ทำให้สารเคมีบางชนิดที่เป็นพิษ ละลายไปในน้ำทะเล

ขณะที่พลาสติกบางชนิด ยังสามารถดูดซึมสารพิษเช่น PCB ที่อยู่ในน้ำทะเล สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารได้ เมื่อถูกกินโดยสัตว์ รวมถึงนำไปสู่การเกิดปัญหาระหว่างประเทศ เรื่องปัญหาขยะข้ามแดน

“ดังนั้น การจัดการขยะทะเล ต้องแก้ไขตั้งแต่ต้นทางคือ คน โดยต้องสร้างความตระหนักให้กับประชาชน และการปรับเปลี่ยนมุมมอง การแก้ปัญหาขยะใหม่ ไม่ใช่แก้ด้วยการเก็บขยะ แล้วนำไปรีไซเคิลเพียงอย่างเดียว

แต่ควรเปลี่ยนมุมมอง ของคนทิ้งขยะใหม่ ไม่มองขยะเป็นเพียงแค่ขยะ หรือของเหลือทิ้ง แต่มองขยะให้เป็นวัตถุดิบ ให้การจัดการขยะเป็นเรื่องของ business model ทำให้เห็นประโยชน์จากขยะเหล่านี้ มากกว่าการมองว่าเป็นปัญหา ยกตัวอย่าง การจัดการขวดน้ำดื่มหนึ่งใบ ถ้าเรามองว่ามันเป็นขยะ หลังดื่มน้ำเสร็จ แล้วก็โยนทิ้งในถังขยะ เพียงแค่นี้ขวดน้ำดื่มนี้ก็กลายเป็นขยะแล้ว

แต่ถ้าเราจัดการขวดน้ำดื่ม ด้วยการนำกลับไปรีไซเคิล ขวดน้ำดื่มนี้ ก็จะกลายเป็นวัตถุดิบ ฉะนั้น อยู่ที่การบริหารจัดการของเราว่าจะให้เป็นขยะหรือให้เป็นวัตถุดิบ”

ปัจจุบันปัญหาขยะทะเล ถูกบรรจุอยู่ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) เป้าหมายที่14 มีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์ และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในเป้าประสงค์ที่ 14.1 การลดมลพิษทางทะเลรวมถึงขยะทะเล และจากข้อมูลสถานการณ์ขยะในประเทศไทย ใน ปี พ.ศ.2561 พบว่า คนไทยสร้างขยะ 1.15 กิโลกรัม/คน/วัน คิดเป็น 76,360 ตัน/วัน

ขณะที่ขยะมูลฝอยทั่วประเทศรวมกันมากกว่า 27.82 ล้านตัน ถูกนำไปกำจัดด้วยวิธีถูกต้อง 10.88 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 39.1 ส่วนที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่มี 9.58 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 34.4

ขณะที่ขยะที่กำจัดไม่ถูกต้องมีกว่า 7.36 ล้านตัน หรือร้อยละ 26.5 และยังมีขยะอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่มีการเก็บรวบรวม โดยบริเวณที่พบขยะตกค้าง พบมากที่สุดคือ ชายหาด ปะการัง และป่าชายเลนในพื้นที่ 24 จังหวัดชายทะเล และส่วนใหญ่พบเป็นถุงพลาสติก

นอกจากนี้ข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ ยังพบว่า ระบบการจัดเก็บ และรวบรวมขยะมูลฝอย ไปสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยชุมชนของหน่วยงานท้องถิ่น อย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีเพียง 4,894 แห่ง หรือร้อยละ 63 ที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังมีถึง 2,881 แห่ง หรือร้อยละ 37 ที่ยังไม่มีการเก็บรวบรวม และถูกนำไปกำจัด

ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ กล่าวว่า เราทุกคนเป็นต้นเหตุทำให้เกิดขยะ และเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากขยะ ดังนั้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะนั้น จึงเป็นเรื่องของทุกคน และต้องอาศัยความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน ในการจัดการปัญหาขยะจากบนบก เพื่อป้องกันไม่ให้ลงสู่ทะเล

เริ่มตั้งแต่การจัดการขยะในครัวเรือน การปรับมุมมองเกี่ยวกับขยะ จากวัตถุเหลือใช้ ให้กลายเป็นวัตถุดิบ สำหรับกระบวนการผลิตอื่นๆ มากกว่าถูกมองว่าเป็นขยะไร้ค่า และอาจให้รางวัล หรือมอบประกาศนียบัตร การจัดการขยะที่ดีให้แก่ที่พักอาศัย คอนโด หอพัก โดยใช้หลักการเดียวกับ กรณีร้านค้า โรงแรม หรือโรงงานที่ตั้งอยู่ติดชายทะเล และการนำแนวคิดเศรษฐกิจสีน้ำเงิน มาเป็นเครื่องมือประยุกต์ใช้ เป็นแนวทางในการป้องกันขยะทะเล เป็นต้น

สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฉบับย่อ เกี่ยวกับสถานการณ์ขยะทะเลฯ จากงานวิจัยนี้ มี 4 ประเด็น ได้แก่

  1. การป้องกันปัญหาขยะทะเล จากแหล่งกำเนิดขยะ ทั้งบนบกและในทะเล โดยการลดปริมาณขยะพลาสติก ที่ต้องนำไปกำจัดทั้งบนบก ในพื้นที่เกาะ และพื้นที่ชายฝั่ง ออกมาตรการให้ผู้ผลิต ลด เลิก ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว การเพิ่มผลิตภัณฑ์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ผลิต การควบคุมกิจกรรม การใช้ประโยชน์ ที่ก่อให้เกิดขยะทะเล และสนับสนุน แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีน้ำเงิน
  2. การแก้ไขสถานการณ์ขยะที่เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้น จากกิจกรรมบนบก การรองรับ และจัดการขยะจากกิจกรรมบนบกและในทะเล การเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มบริการจัดเก็บขยะ ให้เข้าถึงทุกชุมชนอย่างสม่ำเสมอ การคัดแยกและนำขยะพลาสติก กลับมาเป็นวัตถุดิบ จัดตั้งศูนย์คัดแยกขยะ หรือ ธนาคารขยะ
  3. การแก้ไขผลกระทบ ที่เกิดจากปัญหาขยะทะเลและชายฝั่ง พัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ ในการติดตามเพื่อจัดการและจัดเก็บขยะในทะเล รวมทั้งแก้ไขปัญหา Microplastic และ Microbeat ที่อยู่ในห่วงโซ่อาหาร
  4. กลไกภาพรวม โดยการกำหนด ให้มีเขตบริหารจัดการทรัพยากรจังหวัดในทะเล และการวางแผนที่ การใช้ประโยชน์ ที่มีกระทรวงมหาดไทย และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก การมี Business model เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนในการจัดการกับ Political economy รวมถึงการปรับปรุงกฏหมายในประเทศ ให้ทันสมัยและเอื้อต่อการบริหารจัดการขยะในระดับประเทศ

ศ.ดร. เผดิมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า 

“การจัดการเป็นเรื่องสำคัญ หากจัดการไม่ดีก็กลายเป็นขยะ ถ้าจัดการถูก ก็กลายเป็นวัตถุดิบ เมื่อปัญหาขยะทะเลลดลง ชายหาดปลอดขยะ ทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์ ก็จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ ฐานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะล ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ การเป็นแหล่งอาหาร ทรัพยากรธรรมชาติ การเป็นแหล่งพลังงาน การท่องเที่ยว การขนส่ง และภาคบริการที่เกี่ยวเนื่อง”