Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

แพทย์เผยข้อมูล ฝีดาษลิง ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม ชี้ตรวจพบเร็วลดความเสี่ยงแพร่ระบาดได้ พร้อมเผยแนวทางป้องกัน และรักษาโรค

Onlinenewstime.com : บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด จับมือศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยและ ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดงานเสวนาเชิงวิชาการออนไลน์ โรช คอนเน็ค เดอะ ดอทส์ (Roche Connect the Dots) ในหัวข้อ “ล้วงลึก เจาะประเด็น “ฝีดาษลิง” และการตรวจหาเชื้อแบบ PCR” 

เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลก การคาดการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกและประเทศไทย สาเหตุและอาการของโรค วิธีการตรวจ การติดตามผล และการรักษา รวมถึง เทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัย ตลอดจนมาตรการการรับมือจากองค์การอนามัยโลก และในประเทศไทยผ่านช่องทางยูทูป ไลฟ์ https://www.youtube.com/watch?v=Z7VOlUhZwl0 Roche Diagnostics Thailand ของบริษัทฯ

ผศ. นพ. โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เผยว่า โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตระกูล ออโธพอกซ์ (orthopox) จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง หรือ การรับประทานเนื้อสัตว์ตระกูลสัตว์ฟันแทะ

ซึ่งเมื่อติดเชื้อในคนจะทำเกิดอาการไข้ มีผื่นตุ่มน้ำ ตุ่มหนองตามร่างกาย คล้ายโรคฝีดาษ(smallpox) ที่ถูกกำจัดไปแล้วใน ปี ค.ศ 1968

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงอัพเดตในวันนี้ (14 มิ.ย.65) มีรายงานผู้ป่วยยืนยันประมาณ 1,500 คน กระจายทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศกลุ่มเสี่ยงในแถบยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะในประเทศสเปน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และโปรตุเกส ที่มีรายงานการระบาดพบจำนวนผู้ติดเชื้อเกิน 20 คน ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

แต่ปัจจุบันยังไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ซึ่งยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่ามีการแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด เนื่องจากไวรัสมีระยะฟักตัวนานได้ถึง 21 วัน และในบางรายพบว่าอาการผื่นตุ่มน้ำเกิดขึ้นเพียงในเยื่อบุช่องปาก และที่อวัยวะเพศถึง 60% คล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างเริม หรืออาจจะเป็นเชื้อซิฟิลิส

ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคฝีดาษลิง ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้ สำหรับผู้ที่มีประวัติสัมผัสเสี่ยงสูง มีความจำเป็นต้องกักตัวเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 3 สัปดาห์ จึงจะสามารถสังเกตอาการที่ชี้ชัดได้ว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อหรือไม่ หากไม่พบว่ามีการปรากฎ ก็ไม่จัดว่าเป็นผู้ป่วย

สำหรับแนวทางการรักษาในปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อฝีดาษวานร สามารถรักษาด้วยยาต้านไวรัส 3 กลุ่ม ซึ่งถึงแม้จะยังไม่ใช่ยามาตรฐานเฉพาะสำหรับโรค แต่สามารถใช้ยารักษาฝีดาษในมนุษย์ได้ ได้แก่ Tecovirimat และ Cidofovir, Brincidofovir ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อตับได้เพียงเล็กน้อย

และเนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อที่สามารถหายได้เอง ในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง และอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ การใช้ยาต้านไวรัส ยังมีความจำเป็นเฉพาะผู้ป่วยบางรายได้เท่านั้น ที่มีความเสี่ยงอันตรายจากโรคถึงชีวิต เช่นผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด

ซึ่งประชาชนทั่วไป ยังไม่มีความจำเป็นต้องรับการฉีดวัคซีนเหมือนกับโรคระบาดอื่น ๆ เช่นโควิด 19 เนื่องจากโอกาสในการแพร่ระบาดยังเป็นวงจำกัด

จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ ได้แก่ แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่พยาบาล ที่มีโอกาสสัมผัสโรคนี้ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย ซึ่งสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังจากมีความเสี่ยง” ผศ.นพ. โอภาส กล่าว

ด้าน ดร. พิไลลักษณ์ อัคคไพบูลย์ โอกาดะ หัวหน้าศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงการวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการว่า เนื่องจากโรคฝีดาษลิงเป็นโรคที่มีข้อมูลและประสบการณ์ในการตรวจหาเชื้อฯ มาแล้ว

และด้วยแผนปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่มีความพร้อม และการตอบโต้สถานการณ์ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ผ่านมา เป็นเสมือนการซ้อมแผนในสถานการณ์จริง ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่มีความพร้อมรับมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมีความเชี่ยวชาญและพร้อมในการปฏิบัติงาน

จึงสามารถเตรียมการตรวจได้ในทันที ทั้งระบบการคัดกรองและการตรวจวินิจฉัยเชื้อเพื่อช่วยในการยืนยัน โดยในปัจจุบันสามารถใช้วิธี RT-PCR และการถอดรหัสสารพันธุกรรม ซึ่งถือเป็นการป้องกันเชิงรุกที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการตรวจวินิฉัยเชื้อซึ่งจะสามารถแยกผู้ป่วยออกจากสังคมเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้รวดเร็ว ลดการแพร่ระบาดได้

“สำหรับการตรวจวินิจฉัยเชื้อสามารถทำได้โดยเก็บตัวอย่างทั้งการสะกิดแผล เลือด และการสว็อบ ซึ่งผลตรวจจะออกภายใน 24 ชั่วโมง สำหรับการรักษายังคงเป็นการรักษาตามอาการ โดยส่วนใหญ่โรคสามารถหายเองได้

อย่างไรก็ตามน้ำยาสำหรับตรวจ RT-PCR ต้องเป็นน้ำยาที่สามารถตรวจจับเชื้อที่เป็นสาเหตุของการระบาดในปี 2022 นี้

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่พบอาการผิดปกติต้องสงสัย สามารถขอเข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน โดยชุดข้อมูลจากการสอบสวนโรคจากสถานพยาบาลจะถูกส่งไปยังกรมควบคุมโรค

ในขณะที่ตัวอย่างเชื้อจะถูกส่งต่อมายังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อนำไปสู่การตรวจหาเชื้อในห้องปฏิบัติการในห้องชีวนิรภัย ของกรมวิทย์ฯต่อไป

ทั้งนี้คณะกรรมการพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์จะมีการพิจารณาระดับความรุนแรงของโรคเพื่อการจัดลำดับอีกครั้ง โดยประเมินจากสถานการณ์ของโรค” ดร. พิไลลักษณ์ กล่าวเสริม

ด้าน ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรม และเพื่อวางแผนแนวทางการปัองกันและรักษาว่า

โรคฝีดาษลิงที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ เป็นสายพันธุ์ฝีดาษลิงที่มีการกลายพันธุ์แล้วซึ่งมีการกลายพันธุ์ไปถึง 40  ตำแหน่งเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม และ มีการกลายพันธุ์เร็วขึ้น

ดังนั้นการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง (MONKEYPOX) จะช่วยในการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ และช่วยตอบคำถามว่าทำไมจึงมีการระบาดของโรคฝีดาษลิงพร้อมกันกว่า 100 รายในหลายประเทศนอกทวีปแอฟริกา(ซึ่งถือเป็นโรคประจำถิ่น) ทั้งในยุโรบ สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย

“จากการศึกษาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีการกลายพันธุ์เร็วขึ้นเป็น 1 ตำแหน่งต่อเดือน จากเดิมเพียง 1 ตำแหน่งต่อปี ซึ่งการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอันตรายที่ต้องเตรียมรับมือ โดยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้ามาในประเทศไทยในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่ามีการระบาดของโรคฝีดาษลิงในคนเกิดขึ้นในประเทศเป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถทำการ PCR “สวอป” น้ำลาย ส่วนน้ำหรือหนองจากตุ่มแผล ทำการสกัดสารพันธุกรรม (nucleic acid purification) ส่งมายังศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ เพื่อให้ร่วมด้วยช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมได้” ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวปิดท้าย

เกี่ยวกับเชื้อไวรัส

โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1985 ในกลุ่มลิงที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้ในงานวิจัย อย่างไรก็ตาม ไวรัสชนิดนี้ถูกสันนิษฐานว่าเกิดจากการติดต่อจากสัตว์ป่า เช่น สัตว์ตระกูลหนู มาสู่คน หรือจากคนสู่คน

โดยในแถบแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง สามารถพบผู้ติดเชื้อโดยเฉลี่ยประมาณ 2-3 พันรายต่อปี แต่สามารถพบผู้ติดเชื้อนอกแถบทวีปแอฟริกาได้ ซึ่งส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับการเดินทางไปแอฟริกา หรือการนำเข้าสัตว์ที่ติดเชื้อ

ทั้งนี้การรักษาและวัคซีนที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับไข้ทรพิษถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจำกัดการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงได้

Exit mobile version