fbpx
News update

“แอทยีนส์-เซ็นทรัลแลบ-ยูโรฟินส์” จับมือยกระดับการตรวจทดสอบโควิด-19 รองรับการเปิดประเทศ

Onlinenewstime.com : ในยุคโควิด-19 ที่กำลังมีแนวโน้มคลี่คลายจากการควบคุมการระบาดและการให้วัคซีนป้องกัน อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวคงจะไม่สามารถยุติลงได้เพียงชั่วข้ามคืน หลายประเทศทั่วโลก จึงมีการกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในด้านต่างๆ

ไม่เฉพาะด้านการตรวจหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นรายบุคคลเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึง การตรวจเพื่อความปลอดภัยทางด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมาตรฐานและมาตรการเหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งต่อการส่งออก การนำเข้า และการเดินทางข้ามประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องมีการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง แอทยีนส์ เซ็นทรัลแลบ และยูโรฟินส์ เพื่อยกระดับการตรวจทดสอบโควิด-19 พร้อมรับการเปิดประเทศ

ศ.ดร.นพ.วิปร วิประกษิต ผู้บริหาร บริษัท แอทยีนส์ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง บริษัท เซ็นทรัลแลบ (Central Lab) ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลไทย ที่รับผิดชอบในการตรวจมาตรฐาน อาหารเพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศ และการตรวจ วิเคราะห์ทางด้านสิ่งแวดล้อม กับ บริษัทยูโรฟินส์ (Eurofins) ซึ่งเป็นบริษัทแลบที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ในฐานะผู้นำด้านการตรวจทดสอบที่ซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีชั้นสูง (advanced testing) ได้แก่ การตรวจหาสารไดออกซิน ที่ปนเปื้อนในอาหาร รวมไปถึงการตรวจหาเชื้อ โควิด-19 ในบรรจุภัณฑ์ก่อนการส่งออก และในสิ่งแวดล้อมเช่น ภายในห้องโดยสารเครื่องบิน ในห้องน้ำ ในหอพักคนงาน โรงภาพยนตร์ สถานที่ทำงานที่มีบุคลากรจำนวนมาก และสถานที่ ซึ่งมีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19 เป็นต้น

โดยโปรแกรมดังกล่าว ใช้ชื่อว่า Safer@Work เป็นโปรแกรมการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่ใช้อย่างกว้างขวางในสหภาพยุโรป สำหรับการแข่งขันกีฬาที่สำคัญ หลายรายการ ใช้ในสนามบินหลักในสหภาพยุโรป ตลอดจนใช้ในสายการบินชั้นนำจำนวนมาก

ในการนี้ทางบริษัทยูโรฟินส์ จึงได้คัดเลือกให้ บริษัทแอทยีนส์ (ATGenes) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ด้านการตรวจหาเชื้อ โควิด-19 และมี ห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานระดับโลก เป็นห้องปฏิบัติการเครือข่ายแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ได้รับการรับรอง ในโครงการดังกล่าว จึงทำให้เกิดโครงการเฉพาะในประเทศไทยเรียกว่า Safer@Work by ATGenes โดยโครงการนี้ จะสามารถสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ไม่เฉพาะแต่ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีฐานการผลิตในประเทศ

แต่ยังรวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ประเทศปลายทาง ต้องการใบรับรองการตรวจหาเชื้อตามมาตรฐานระดับนานาชาติ ให้สามารถส่งออกไปยังทั่วโลกได้ รวมไปถึงกระตุ้นให้เกิดการเดินทางโดยสารเครื่องบินเพิ่มขึ้นอย่างปลอดภัย

ในการนี้ บริษัทแอทยีนส์ จะได้ร่วมมือกับ บริษัท Pulse Science ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดสร้างห้องปฏิบัติการ เพื่อขยายกำลังการตรวจทั้งบุคคลและบรรจุภัณฑ์ รวมไปถึงการสร้างมาตรฐานการตรวจถุงมือยาง เครื่องมือแพทย์ให้เป็นไปตาม แนวทางที่ บริษัทยูโรฟินส์ ใช้ในสหภาพยุโรป และเป็น มาตรฐานที่ยอมรับในระดับสากล

ทั้งหมดนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง เพิ่มการเดินทางระหว่างนานาชาติ และกระตุ้นให้เศรษฐกิจของเรา โดยเฉพาะด้านการส่งออกสามารถกลับมาเดินหน้าต่อไป

นายชาคริต เทียบเธียรรัตน์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เซ็นทรัลแล็บไทย (Central Lab Thai) ในฐานะห้องปฏิบัติการกลางของรัฐบาลไทย กล่าวในงานแถลงข่าวถึงการร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือกับ นายนิธิวัชร์ ยิ่งกิจวิวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ยูโรฟินส์ ฟู้ด เทสติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัททางห้องปฏิบัติการ ที่มีชื่อเสียงในระดับโลกในฐานะผู้นำด้านการตรวจทดสอบที่ซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (advanced testing) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อร่วมมือในการสร้างศักยภาพมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ทางอาหารร่วมกัน โดยเฉพาะผลิตผลทางด้านการเกษตร อาหารและอุตสาหกรรม

รวมถึง สร้างเครือข่ายองค์กรให้มีองค์ความรู้ ความสามารถ ครอบคลุมทั้งการบริหารและการจัดการ ยกระดับองค์กรเป็นผู้ประกอบการ ด้านการตรวจสอบ วิเคราะห์สินค้า ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ความร่วมมือกันครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากทั้งสองหน่วยงาน เล็งเห็นถึงความสำคัญของการตรวจวิเคราะห์สินค้าให้เป็นไปมาตรฐานสากล โดยเฉพาะหลังจากนี้ ที่ทิศทางของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (Covid-19) มีแนวโน้มลดลงในหลายประเทศ

ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกและนำเข้าสินค้าในหลายประเทศเริ่มผ่อนปรนมาตรฐานที่เข้มงวด ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงาน ในการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจสารพิษตกค้างในผักและผลไม้ การตรวจหาสารไดออกซินที่ปนเปื้อนในอาหาร การตรวจทดสอบตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด รวมไปถึงการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในบรรจุภัณฑ์ก่อนการส่งออก และในสิ่งแวดล้อม เช่น ภายในห้องโดยสารเครื่องบิน ในห้องน้ำ ในหอพักคนงาน เป็นต้น