Onlinenewstime.com : นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (ไทยประกันชีวิต (Thai Life Insurance : TLI) หรือ บริษัทฯ) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ว่า บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 19,450.81 ล้านบาท โดยเบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) อยู่ที่ 2,909.68 ล้านบาท เติบโต 33.7% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) อยู่ที่ 1,373.55 ล้านบาท เติบโต 7.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) อยู่ที่ 15,167.08 ล้านบาท โดยยังมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์อยู่ที่ 88.6%
ในขณะเดียวกันบริษัทฯ มีกำไรจากเงินลงทุนสำหรับไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 อยู่ที่ 2,240.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.0% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
โดยสาเหตุหลักมาจากการจัดประเภทรายการใหม่ของเงินลงทุนในบริษัทร่วมในปี 2564 ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไทยไพบูลย์ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และบริษัท โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด
โดยเปลี่ยนประเภทจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเป็นเงินลงทุนในหลักทรัพย์แทน ซึ่งส่งผลให้มีการบันทึกผลขาดทุนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ขณะที่บริษัทฯ ไม่มีการจัดประเภทรายการใหม่ในลักษณะดังกล่าวในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565
นายไชยกล่าวว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงผันผวน และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มุ่งเปลี่ยนผ่านองค์กรภายใต้วิสัยทัศน์ ก้าวสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบครบวงจร
เพื่อเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล หรือ Life Solutions Provider ในทุกช่วงชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกการใช้ชีวิต (Lifestyle) ของผู้เอาประกัน
ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางจัดจำหน่าย บุคลากร และเทคโนโลยี ตลอดจนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับความพร้อมอย่างรอบด้านในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และความผันผวนทางเศรษฐกิจจากปัจจัยต่าง ๆ
สำหรับกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรภายใต้สถานการณ์ของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทควบการลงทุน (Investment-linked Product) ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) และผลิตภัณฑ์คุ้มครองสุขภาพ (Health Insurance) เพิ่มขึ้น
เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยเน้นการขยายตลาดทั้งกลุ่มผู้เอาประกันเดิม ผ่านการขายกรมธรรม์ที่สอง หรือ Second Policy รวมถึงการขายทั้งครอบครัว และกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เน้นการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าระดับบน หรือกลุ่ม High Net Worth และกลุ่มคนวัยทำงาน
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการขยายช่องทางจัดจำหน่าย ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลของบริษัทฯ และพันธมิตรที่มีแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในช่วงที่ยังคงต้องเว้นระยะห่างทางสังคม และลดการปฏิสัมพันธ์แบบพบหน้า
ทั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ยังคงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน หรือ ค่าใช้จ่ายในส่วนของผลประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์และการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากบริษัทฯ ไม่มีผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยในรูปแบบ “เจอ จ่าย จบ” (1) และการเพิ่มขึ้นของจำนวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากโรคโควิด-19 ที่โดยทั่วไป เป็นการให้ความคุ้มครองตามสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและสัญญาเพิ่มเติมชดเชยรายได้ระหว่างเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น ถูกหักกลบด้วยการลดลงของการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลในกรณีอื่น เนื่องจากประชาชนหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลในช่วงเวลาดังกล่าว
โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 อัตราส่วนการสูญเสีย (Loss Ratio) ที่เกี่ยวข้องกับค่ารักษาพยาบาลอยู่ที่ 8.0% ขณะที่การจ่ายเงินผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 มีจำนวน 473.70 ล้านบาท
นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของบริษัทฯ ยังคงมีความมั่นคง โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio: CAR) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 อยู่ที่ร้อยละ 360.57%
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ ยังคงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ “ปี 2565 คือปีที่สำคัญยิ่งของไทยประกันชีวิต
เพราะนอกจากเป็นปีที่บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจมาครบ 80 ปี ยังเป็นปีที่เราจะก้าวสู่มิติใหม่ของการเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่มุ่งสร้างความมั่นคงของชีวิตและการเงินให้กับคนไทย
โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งคาดว่าจะเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจของเราให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตของไทย และก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับนานาชาติอย่างแท้จริง โดยขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนดังกล่าว ซึ่งจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป” นายไชยกล่าว