Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

ไทยเบฟติดปีก รุกสมรภูมิเครื่องดื่มและอาหารอาเซียน

K thapana vision2020 thabev

www.onlinenewstime.com : บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดแถลงข่าวผลการดำเนินงาน และทิศทางธุรกิจที่เติบโต มั่นคง ยั่งยืน พร้อมโชว์ศักยภาพความแข็งแกร่งด้านการลงทุน และขยายเครือข่ายทางธุรกิจเชื่อมโยงทุกมิติ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน และการก้าวสู่ผู้นำระดับโลก

จากวิชั่นของแม่ทัพใหญ่ไทยเบฟ นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจเบียร์ กล่าวว่า “ความภาคภูมิใจของกลุ่มไทยเบฟในปีนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจในระดับโลก ที่นำมาสู่ภูมิภาคอาเซียน ที่ไทยเบฟได้รับคัดเลือกให้เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม และ Industry leader ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

และได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เป็นปีที่ 4 โดยไทยเบฟเป็นเพียงบริษัทเดียว ในประเภทอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของอาเซียน ที่ได้รับการคัดเลือก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กรอย่างต่อเนื่อง

สอดคล้องกับการขับเคลื่อนองค์กร ภายใต้วิสัยทัศน์ 2020 ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ที่ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ ในการขับเคลื่อนธุรกิจของไทยเบฟ ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีที่เข้าสู่ปีสุดท้ายของวิสัยทัศน์ 2020 ที่เราได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นแผนธุรกิจ ระยะ 3 ปี 2 แผนติดต่อกัน ซึ่งเราได้บรรลุเป้าของแผนที่หนึ่งไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2017

ขณะนี้ เรากำลังขับเคลื่อนและผลักดัน เข้าสู่เป้าหมาย ที่เราตั้งความฝันไว้ ที่เราจะเข้าสู่การเข้าไปยืนอยู่ได้ อย่างสง่างามในฐานะ Stable and Sustainable Asean Leader เป็นบริษัทไทยที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนอยู่ในภูมิภาคอาเซียน

โดยผลประกอบการ 9 เดือน ของปี 2019 ถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ ยอดขายรวมอยู่ที่ 205,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18.2% EBITDA เพิ่มขึ้น 21.0% เป็น 36,265 ล้านบาท และ Net profit อยู่ที่ 21,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1%

วิสัยทัศน์ปี 2020

นายฐาปน กล่าวถึงวิสัยทัศน์ ในปี 2020 ว่า เราได้กำหนดเรื่องสำคัญไว้ 5 เรื่อง โดยในช่วง 3 ปีแรก เน้นเรื่องของ Growth การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ และ Diversity ความหลากหลายของสินค้าและตลาด ซึ่งเราได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และมีการขยายส่วนแบ่งทางการตลาด ในประเทศไทย ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดสำคัญ เช่น เวียดนาม และเมียนมาร์

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เน้นในเรื่อง Brand และ Reach ซึ่งก็คือฝ่ายการตลาด (Marketing) และการขาย (Sale) ให้ทำงานควบคู่กันไปอย่างใกล้ชิด เพิ่มความเข้าใจผู้บริโภค และการเข้าถึงลูกค้าของเรา ทำให้เราสามารถผลักดันผลประกอบการ ได้อย่างต่อเนื่อง

อีกเรื่องที่สำคัญคือ Professionalism ความเป็นมืออาชีพด้วยการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร เป็นเรื่องที่ไทยเบฟ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก พนักงานของเราที่มีมากกว่า 6 หมื่นคน เราพยายามที่จะให้โอกาส และให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

มีการค้นหาให้มี “คนที่มีศักยภาพ” ให้เติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจของเราแบบไร้ขีดจำกัด และเรายังได้ผลักดันให้มี “ระบบการสร้างคน” ทำ IDP Individual Development Program เป็นรายบุคคล และจัดให้มี Talent Management and Succession Plan programs  

นับว่าระบบที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนของเราได้โอกาสในการพัฒนาหน้าที่การงาน ยิ่งธุรกิจของเราเติบโตไปเท่าไหร่ โอกาสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยความเชื่อของเรา และหน้าที่ของผมซึ่งเป็น CEO ก็คือการสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ให้กับพนักงาน ผู้บริหารของเรา จนถึงคู่ค้าและพันธมิตรทุกภาคส่วน

โดยสรุปภาพรวมในวิสัยทัศน์ 2020 ถือว่าสามารถขับเคลื่อนและประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ   ซึ่งทำให้เรามีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ส่งต่อให้เราสามารถพัฒนาแผนธุรกิจของเรา ให้เป็น Business plan ที่มองไปไกลถึง 2025

ซึ่งจะเป็นแผน 3 ปี อีก 2 แผนของเรา เริ่มนับที่ 2020 – 2022 เป็นแผน 3 ปีแรก และ 2022-2025  เป็นแผน 3 ปีที่สอง จะเห็นความเชื่อมโยง ก้าวข้ามระหว่างปี 2020 ไปยัง 2025 ซึ่งในปี 2020 นี้เราจะทำพร้อมกันคือการปิด Budget Plan ของแผน 2020 พร้อมกับสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ให้เราก้าวไปสู่ผลสำเร็จ ที่เราวางไว้ในปี 2025

แต่การที่เราจะไปถึง 2025 ได้นั้น มีเรื่องสำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัล  ซึ่งวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีสิ่งใหม่ๆ ที่ให้โอกาสทางธุรกิจของเรา และสามารถพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์

รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ ของกระบวนการทำงานของเรา ในเรื่องที่จะเข้าสู่โลกของ Digital Age  จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโลกเปลี่ยนไป

แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าคนของเรา ต้องมีความพร้อม จึงเป็นเหตุผล ที่เราต้องวางแผนด้านไอทีของเราไปถึง ปี 2030 และกำหนดแผนพัฒนาคนไปถึงปี 2050

เพราะคนที่จะเป็นผู้บริหารในปี 2050 นับไปจากปีนี้ 30 ปี ก็คือคนที่เข้ามาทำงานในไทยเบฟ อายุ 20 ปี ที่ในปี 2050 เขาก็จะอายุ 50 ปี เราจึงจำเป็น ต้องเฟ้นหาคนที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราจะทำ

นอกจากนั้นก็ยังมีคน 6 หมื่นคน ที่อยู่กับเรา ที่จะต้องเตรียมรองรับกับเทคโนโลยี ที่จะเข้ามาในระบบงานของเรา จะมีคนบางส่วน ที่ต้องส่งเสริมเรื่องทักษะ และศักยภาพ Upskill บางส่วนต้อง Reskill เพราะงานที่เขาทำอยู่ เช่นขับรถ Forklift ในโกดังของเรา

ในวันข้างหน้ารถ Forklift อาจกลายเป็น  Self-driving ทำให้พนักงาน ซึ่งอยู่กับเรามานานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ จึงต้องพัฒนาทักษะด้านอื่น ให้เขายังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้

ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราต้องมองให้ไกลไปถึงปี 2030, 2040 และ 2050 คือการเตรียมคนให้พร้อม การมองทั้งโอกาสในด้านการตลาด และการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน ให้สอดคล้องกับโลกที่จะเปลี่ยนไป

ซึ่งการมองแบบนี้ เรามองไปในตลาดที่อยู่ในปัจจุบันไม่น่าจะเพียงพอ เมื่อเรามีโอกาส และประสิทธิภาพ เราจึงไม่ได้มองเพียงเรื่องของอาเซียน ซึ่งจะมีประชากรสูง 700 ล้านคน ภายในปี 2025 รวมถึงนักท่องเที่ยวอีกกว่า 120 ล้านคน เหมือนใน Vision 2020

“แต่ในปี 2025 ผมมองไปถึงอาเซียน+6 ซึ่งมีประชากรรวมกัน กว่าครึ่งโลก มีประเทศที่มีอัตราการโตของเศรษฐกิจสูง เช่น เมียนมาร์ 7.4 % กัมพูชา 7.2 %  ลาว 7.1 % และเวียดนาม 6.2% กลุ่มประเทศ ที่เป็นที่จับตามองในปัจจุบันคือ MTV (เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม)

นอกจากนี้ เรามองไปข้างหน้า เห็นโอกาสที่น่าตื่นเต้น ผมเห็นว่าเรายังมีโอกาสจากการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของโลก ผ่านโครงการสำคัญ เช่น Belt Road Initiative ของประเทศจีน”

Exit mobile version