onlinenewstime.com : ข้อมูลของ 15 ประเทศที่นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก (world’s biggest importers) จากเวบไซด์สภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum รายงานว่าในมุมมองของผู้นำระดับโลก และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรส่วนใหญ่ การอ่อนไหวและแนวโน้มโลก ที่ไปสู่นโยบายการปกป้องตนเอง เป็นเรื่องประหลาดใจที่ไม่น่าพิศมัยนัก
เพราะจากมุมมองที่สอดคล้องกันทั้งจากนักเศรษฐศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ทางเศรษฐศาสตร์ พบแง่มุมที่คล้ายคลึงจากกรณี Smoot-Hawley tariff act ในปีค.ศ. 1930 (นโยบายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสงครามการค้าในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงเป็นลำดับ
เป็นเรื่องปกติที่การเพิ่มขึ้นของอัตราภาษีนำเข้า จะต้องเจอกับมาตรการตอบโต้ และบ่อยครั้งที่จะเป็นนัยสำคัญถึงการลดลงของระดับการค้าระหว่างประเทศ และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งกระดาน ในช่วงปีค.ศ. 1929 – 1934
ตามข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ การค้าโลกมีอัตราลดลงถึง 66% เป็นผลมาจากสงครามการค้าหลังจาก Smoot-Hawley และจากเหตุการณ์นี้ อุปสรรคการค้าระหว่างประเทศก็มีอัตราลดลงมาเป็น 10 ปีจนกระทั่งปัจจุบัน
ผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด
ประเทศไหนจะสามารถสร้างฐานพลังออกไปได้มากที่สุดด้วยอัตราภาษีศุลกากรและมาตรการตอบโต้?
อย่างไรก็ตามข้อมูลต่อไปนี้ ชี้ให้เห็นประเทศที่นำเข้าสินค้ามากที่สุด และ Infographic ล่าสุดจาก HowMuch.net ที่แสดงผู้นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปีค. ศ. 2017 จากข้อมูลที่ได้รับการเผยแพร่จากองค์กรการค้าโลก
15 ประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดในโลก
- ประเทศสหรัฐอเมริกาครองอันดับ 1 ของการนำเข้าในมูลค่า 2,409 พันล้านเหรียญในปี 2017 คิดเป็น 13.4% ของมูลค่ารวม ซึ่งกล่าวได้ว่า สูงกว่ายอดส่งออกของประเทศในปี 2017 ถึง 860 พันล้านดอลลาร์ และจากความแตกต่างของตัวเลขทั้งสองเป็นยอดการขาดดุลการค้าที่ถกเถียงกันได้อย่างเผ็ดร้อนทีเดียว
- ขณะที่อันดับรองๆลงมานั้น ประเทศจีนเข้าสู่อันดับ 2ิ มีมูลค่าการนำเข้า 1,842 ล้านเหรียญ (10.2% ของยอดรวมทั่วโลก)
- สำหรับเยอรมัน ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป ครองอันดับ 3 ตามลำดับ มีมูลค่าการนำเข้า 1,167 พันล้านเหรียญ (6.5% ของทั้งหมด)
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ประเทศอันดับ 4 ,5,6,7,8 ที่ตามหลังยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ไม่มีประเทศอื่นที่มีการนำเข้ามากกว่า 5% ของมูลค่ารวม แต่ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮ่องกง และเนเธอร์แลนด์ ต่างมีมูลค่ารวมเกินกว่า 3%
ที่มา : Jeff Desjardins, Visual CapitalistWorld, Economic Forum