fbpx
News update

กรมพัฒนาธุรกิจฯ เผย ‘ที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนในประเทศไทย’

แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยนักลงทุนไทยแห่จัดตั้งธุรกิจใหม่ ทะลุ 8.5 หมื่นราย ซึ่งเป็นยอดการจัดตั้งธุรกิจสูงสุดในรอบ 10 ปี (2557 – 2566) ทุนจดทะเบียนรวมกว่า 5.6 แสนล้านบาท 3

ประเภทธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุด : ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร

ขณะที่ชาวต่างชาติหอบเงินลงทุนเข้าไทย ภายใต้ พ.ร.บ.ต่างด้าวฯ แตะ 1.3 แสนล้านบาท 3 ประเภทธุรกิจที่ได้รับความนิยม : บริการรับจ้างผลิต บริการด้านคอมพิวเตอร์ และ บริการให้คำปรึกษาแนะนำและบริหารจัดการ

ญี่ปุ่นนำโด่งครองแชมป์อันดับ 1 ทั้งจำนวนนักลงทุนและเงินที่นำเข้ามาลงทุน คาด!! ปี 2567 เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง ปัจจัยบวกด้านต่างๆ เอื้อและสนับสนุนให้นักลงทุนทั้งไทยและเทศลงทุนเพิ่ม คาด!! ปี 2567 จัดตั้งธุรกิจใหม่ในประเทศแตะ 9.5 หมื่นราย ต่างชาตินำเงินเข้าลงทุนในไทย ทะลุ 1.4 แสนล้านบาท 

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “เป็นธรรมเนียมทุกปีเมื่อเริ่มต้นศักราชใหม่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะนำข้อมูลของปีที่ผ่านมาจากคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย DBD DataWarehouse+ มาทำการวิเคราะห์และประมวลผลภาพรวมการลงทุนในประเทศ

สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจประเทศในสายตานักลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมทั้ง นักลงทุนสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาดก่อนตัดสินใจลงทุน ทำให้เกิดความมั่นใจและพร้อมลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง  

ปี 2567 กรมฯ ได้นำเสนอภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยตลอดปี 2566 ประมวลผลออกมาเป็น ‘ที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนในประเทศไทย’ โดยกรมฯ ได้นำข้อมูลการลงทุนทั้งของคนไทยและชาวต่างชาติมาประกอบการวิเคราะห์ คือ * การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในประเทศพร้อมเงินทุนจดทะเบียน และ * การลงทุนของชาวต่างชาติภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวฯ ซึ่งข้อมูลทั้ง 2 ด้านเป็นข้อมูลที่มีความสมบูรณ์และถูกต้องมากที่สุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานเดียวของประเทศที่มีชุดข้อมูลดังกล่าว

ดังนั้น ข้อมูลที่นำเสนอออกมาจึงสามารถนำไปอ้างอิงหรือเทียบเคียงกับชุดข้อมูลอื่นๆ ทั้งภายใน/ภายนอก ประกอบการคาดการณ์ภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นผลดีต่อนักลงทุน ทั้งผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจ ผู้ที่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม หรือนักลงทุนชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้เห็นถึงภาพรวมการลงทุนของปีที่ผ่านมาในมุมกว้าง และสามารถใช้เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย

ที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนของคนไทยในประเทศไทย : การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในประเทศ

จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ภาคธุรกิจเติบโต และมีการกระจายตัวทั่วถึงทุกพื้นที่เพื่อยกระดับเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศไทย กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้นำข้อมูลการจัดตั้งนิติบุคคลปี 2566 มาประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพื้นที่

สะท้อนผ่านข้อมูลจำนวนการจัดตั้งธุรกิจให้เห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทิศทาง และแนวโน้มในการประกอบธุรกิจในแต่ละพื้นที่ ให้เห็นที่สุดของการจดทะเบียนธุรกิจในไทย โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้

ที่สุดแห่งการจัดตั้งธุรกิจภาพรวมในประเทศไทย

ปี 2566 เป็นปีที่มียอดการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงสุดในรอบ 10 (ปี 2557 – 2566) โดยปี 2566 มีนักลงทุนจดทะเบียนฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น 85,300 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 8,812 ราย หรือ 12% มูลค่าทุน 562,469.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 132,640.83 ล้านบาท หรือ 31% (ปี 2565 จัดตั้ง 76,488 ราย ทุน 429,828.81 ล้านบาท)

เป็นการจัดตั้งนิติบุคคลในรูปแบบ * บริษัทจำกัด 72,139 ราย (84.57%) ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 13,086 ราย (15.34%) และ บริษัทมหาชนจำกัด 75 ราย (0.09%) โดยเป็นธุรกิจขนาดเล็ก SMEs จำนวน 85,233 ราย (99.92%) และขนาดใหญ่ L จำนวน 67 ราย (0.08%)  

ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่

1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 6,524 ราย (7.65%)ทุน 13,236.72 ล้านบาท (2.35%)
2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์                       จำนวน 6,393 ราย (7.49%)ทุน 29,289.12 ล้านบาท (5.21%)
3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารจำนวน 4,001 ราย (4.69%)      ทุน 8,046.23 ล้านบาท (1.43%)
4. ธุรกิจให้คำปรึกษา  ด้านการบริหารจัดการอื่นๆจำนวน 2,046 ราย (2.40%)ทุน 4,034.23 ล้านบาท (0.72%)
  
5. ธุรกิจตัวแทนนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,943 ราย (2.28%)ทุน 6,413.98 ล้านบาท (1.14%)
6. ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต     จำนวน 1,713 ราย (2.01%)ทุน 2,270.84 ล้านบาท (0.40%)
7. ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า
   รวมถึงคนโดยสาร
จำนวน 1,643 ราย (1.93%) ทุน 2,693.93 ล้านบาท (0.48%)
8. ธุรกิจขายปลีกสินค้าในร้านค้าทั่วไปจำนวน 1,484 ราย (1.74%)ทุน 2,009.29 ล้านบาท (0.36%)
9. ธุรกิจจัดนำเที่ยว                      จำนวน 1,419 ราย (1.66%)ทุน 2,702.58 ล้านบาท (0.48%)
10. ธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไป          จำนวน 1,084 ราย (1.27%) ทุน 3,719.92 ล้านบาท (0.66%)

เมื่อทำการวิเคราะห์การจัดตั้งนิติบุคคลปี 2566 พบว่า จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งเพิ่มขึ้นกว่า 12% ได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจในภาคต่างๆ ทั้งธุรกิจภาคบริการ ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก และภาคการผลิต

โดยในส่วนของภาคบริการ คิดเป็น 58% ของจำนวนการจัดตั้งทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น คือ ธุรกิจกิจกรรมเกี่ยวกับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 366 ราย เติบโต 1.46 เท่า ธุรกิจกิจกรรมของสำนักงานจัดหางานหรือตัวแทนจัดหางาน 43 ราย เติบโต 1.39 เท่า และ ธุรกิจกิจกรรมบริการที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง 707 ราย เติบโต 1.36 เท่า

ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก คิดเป็น 32% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด มีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชนิดใช้ในครัวเรือนบนแผงลอยและตลาด 16 ราย เติบโต 2.20 เท่า ธุรกิจการขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืช 203 ราย เติบโต 1.51 เท่า และธุรกิจการขายส่งอิฐหินปูนทรายและผลิตภัณฑ์คอนกรีต 66 ราย เติบโต 1.06 เท่า และเมื่อพิจารณาในส่วนของ

ภาคการผลิต คิดเป็น 10% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการผลิตเครื่องมือกล 18 ราย เติบโต 2.60 เท่า ธุรกิจการผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 17 ราย เติบโต 2.40 เท่า และ ธุรกิจการผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ 88 ราย เติบโต 1.59 เท่า

ที่สุดแห่งการจัดตั้งธุรกิจในกรุงเทพมหานคร / ภูมิภาค / จังหวัด และธุรกิจที่ได้รับความสนใจ

การจัดตั้งธุรกิจทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 85,300 ราย เป็นการจัดตั้งธุรกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 25,120 ราย (29%) และ ภูมิภาค 60,180 ราย (71%)

หากพิจารณาตามเขตภูมิภาค แบ่งออกเป็น 6 ภาค คือ ภาคกลาง มีสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจสูงสุด 17,581 ราย (20.61%) ภาคใต้ 11,675 ราย (13.69%) ภาคตะวันออก 10,948 ราย (12.83%) ภาคตะะวันออกเฉียงเหนือ 8,942 ราย (10.48%) ภาคเหนือ 8,604 ราย (10.09%) และภาคตะวันตก 2,430 ราย (2.85%)

โดยทุกภาคมีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ที่ผ่านมา ยกเว้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีอัตราการเติบโตลดลงในปี 2566

พื้นที่การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในกรุงเทพมหานคร ปี 2566 เขตที่มีการจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. เขตวัฒนา 1,632 ราย 2. เขตห้วยขวาง 1,277 ราย และ 3. เขตคลองสามวา 993 ราย โดย 3 อันดับที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับปี 2565 ได้แก่ 1. เขตธนบุรี เติบโต 51.61% 2. เขตห้วยขวาง เติบโต 51.48% และ 3. เขตพระโขนง เติบโต 32.01%

ทั้งนี้ 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีการอัตราการเติบโตของการจัดตั้งสูงสุด 5 อันดับแรกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้แก่ 1. ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 2. ธุรกิจผับบาร์สถานบันเทิง 3. ธุรกิจขนมอบและเบเกอรี่ 4. ธุรกิจเกม ของเล่น รวมถึงโมเดลสะสม และ 5. ธุรกิจจัดหางาน

ขณะที่พื้นที่การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเขตภูมิภาค ปี 2566 จังหวัดที่มีการจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ชลบุรี 7,370 ราย จ.ภูเก็ต 4,983 ราย และจ.นนทบุรี 4,583 ราย โดยจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ภูเก็ต เติบโต 40.82% จ.สุราษฎร์ธานี เติบโต 32.16% และ จ.พังงา เติบโต 21.99%

ซึ่ง 3 จังหวัดดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การลงทุน และจังหวัดที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูงเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร

โดยธุรกิจที่น่าสนใจและมีอัตราการเติบโตของการจัดตั้งสูงสุด 5 อันดับแรกในเขตภูมิภาค ได้แก่ 1. ธุรกิจขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์จักรยานยนต์ 2. ธุรกิจเช่าจักรยานยนต์ 3. ธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 4. ธุรกิจขนส่งทางน้ำ และ 5. ธุรกิจการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยี

การเลิกประกอบธุรกิจ ปี 2566

ปี 2566 มีจำนวนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการทั้งสิ้น 23,380 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 1,500 ราย (7%) มูลค่าทุนเลิกประกอบกิจการ 160,056.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 33,008.08 ล้านบาท (26%) (ปี 2565 เลิกประกอบธุรกิจ 21,880 ราย ทุน 127,048.39 ล้านบาท)

ประเภทธุรกิจที่มีการเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป  2,166 ราย (9.26%) 2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,146 ราย (4.90%) โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 เพิ่มขึ้น 154 ราย และ 123 ราย ตามลำดับ

โดยธุรกิจ 2 ประเภทนี้เป็นธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูง และจดทะเบียนเลิกกิจการสูงทั้งคู่ เนื่องจากรูปแบบของธุรกิจที่มักจะมีการจัดตั้งนิติบุคคลตามการก่อสร้าง หรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเมื่อโครงการสำเร็จปิดตัวลงเรียบร้อย ก็จะเลิกกิจการเพื่อไม่ให้เป็นภาระในการทำบัญชีหรือส่งงบการเงินให้กับส่วนราชการ และอันดับ

3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร เลิกประกอบธุรกิจ 699 ราย (2.99%) เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 76 ราย ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สอดคล้องไปทิศทางเดียวกันกับจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในปี 2566 ที่มีธุรกิจจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร

จากข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้ง และการเลิกประกอบกิจการ พบว่าจำนวนการจัดตั้งธุรกิจมีการเพิ่มสูงขึ้นและมีทิศทางในทางบวกอย่างชัดเจน โดยการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการไม่ได้สูงกว่าปกติ และแตกต่างจากจำนวนในปีก่อนๆ มากนัก

ที่สุดของการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจและคงอยู่ปัจจุบัน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดำเนินการรับจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล ตั้งแต่ปี 2466 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 101 ปี มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจทั้งสิ้น 1,877,236 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 29.41 ล้านล้านบาท โดยปัจจุบันมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 890,317 ราย แบ่งออกเป็น บริษัทจำกัด 689,917 ราย (77.49%) ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 198,955 ราย (22.35%) และบริษัทมหาชนจำกัด 1,445 ราย (0.16%) 

บทสรุปที่สุดของการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจและเลิกประกอบกิจการ ปี 2566

ปี 2566 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ถึง 12% ซึ่งจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นไปตามการคาดการณ์การจดทะเบียนฯ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่ 82,000 – 85,000 ราย ซึ่งเป็นผลมาจากภาพรวมของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นจากปี 2565 บวกกับปัจจัยส่วนหนึ่งที่กระตุ้นในด้านต่างๆ จากรัฐบาล

ทั้ง * โครงการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่ (Mega projects) ที่กลับมาเดินหน้าก่อสร้างโครงการอย่างต่อเนื่องหลังจากล่าช้าช่วงสถานการณ์โควิด-19

* นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจภาพรวมของปี 2566 ให้กลับมาดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจ โดยกลุ่มธุรกิจภาคบริการยังคงเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมในการจัดตั้งธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ว่ามีจำนวนการจัดตั้งสูงติดอันดับต้นๆ ทั้งธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร

ในส่วนของการเลิกประกอบกิจการถือว่าเป็นแนวโน้มปกติ เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเลิกประกอบกิจการกับการจัดตั้งธุรกิจ พบว่า เลิกกิจการคิดเป็น 27.41% ของการจัดตั้งธุรกิจ ซึ่งน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 28.61% และอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (2561-2565) ซึ่งอยู่ที่ 29.75%

ประกอบกับจำนวนการเลิกประกอบกิจการในปี 2566 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2565 แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์การเลิกประกอบกิจการยังคงเป็นปกติ และการจัดตั้งธุรกิจยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปี 2565

ที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542

ปี 2566 อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 รวมทั้งสิ้น 667 ราย เงินลงทุนรวม 127,532 ล้านบาท จ้างงานคนไทยรวม 6,845 คน เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย

และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 439 ราย

10 ประเทศที่เป็นที่สุดของการลงทุนในประเทศไทย

ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ทั้งจำนวนนักลงทุนและจำนวนเงินลงทุน โดยมีนักลงทุนจำนวน 137 ราย (20.5 %) เงินลงทุนรวม 32,148 ล้านบาท (25.2%)

อันดับที่ 2 สิงคโปร์นักลงทุน 102 ราย (15.3%)ทุน 25,405 ล้านบาท (19.9%)
อันดับที่ 3 สหรัฐอเมริกานักลงทุน 101 ราย (15.1%)           ทุน 4,291 ล้านบาท (3.4%)
อันดับที่ 4 จีนนักลงทุน 59 ราย (8.9%)ทุน 16,059 ล้านบาท (12.6%)
อันดับที่ 5 ฮ่องกงนักลงทุน 34 ราย (5.1%)ทุน 17,325 ล้านบาท (13.6%)
อันดับที่ 6 เยอรมนีนักลงทุน 26 ราย (3.9%)ทุน 6,087 ล้านบาท (4.8%)
อันดับที่ 7 สวิตเซอร์แลนด์นักลงทุน 23 ราย (3.5%)ทุน 2,960 ล้านบาท (2.3%)
อันดับที่ 8 เนเธอร์แลนด์               นักลงทุน 20 ราย (3.0%) ทุน 911 ล้านบาท (0.7%)
อันดับที่ 9 สหราชอาณาจักรนักลงทุน 19 ราย (2.9%) ทุน 433 ล้านบาท (0.3%)
อันดับที่ 10 ไต้หวัน นักลงทุน 18 ราย (2.7%)ทุน 1,125 ล้านบาท (0.9%)

10 ประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย

อันดับที่ 1 บริการรับจ้างผลิต จำนวน 136 ราย (20.4%) ทุน 42,644 ล้านบาท (33.4%)
อันดับที่ 2 บริการด้านคอมพิวเตอร์
(ให้ใช้สิทธิ์โปรแกรม แอปพลิเคชัน/
พัฒนาซอฟต์แวร์ / e-Commerce)
จำนวน 68 ราย (10.2%)ทุน 1,434 ล้านบาท (1.1%)
อันดับที่ 3 บริการให้คำปรึกษา 
แนะนำ และบริหารจัดการ
จำนวน 62 ราย (9.3%)ทุน 7,803 ล้านบาท (6.1%)
อันดับที่ 4 ค้าส่งสินค้า  
จำนวน 58 ราย (8.7%)ทุน 7,873 ล้านบาท (6.2%)
อันดับที่ 5 บริการทางวิศวกรรม   
จำนวน 46 ราย (6.9%)ทุน 2,756 ล้านบาท (2.2%)
อันดับที่ 6 บริการให้เช่า 
(สินค้า/ที่ดิน/อาคาร)
จำนวน 45 ราย (6.8%)ทุน 16,096 ล้านบาท (12.6%)
อันดับที่ 7 ค้าปลีกสินค้าจำนวน 41 ราย (6.2%)
ทุน 1,635 ล้านบาท (1.3%)
อันดับที่ 8 บริการทางการเงิน  
(สินเชื่อ/ให้กู้/รับค้ำประกันหนี้)
จำนวน 23 ราย (3.5%)ทุน 6,805 ล้านบาท (5.3%)
อันดับที่ 9 คู่สัญญาเอกชน
(ขุดเจาะปิโตรเลียม/ก่อสร้างโครงการ)
จำนวน 22 ราย (3.3%)ทุน 689 ล้านบาท (0.5%)
อันดับที่ 10 นายหน้า จำนวน 20 ราย (3.0%)ทุน 1,697 ล้านบาท (1.3%)

เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 84 ราย (14%) (ปี 2566 อนุญาต 667 ราย / ปี 2565 อนุญาต 583 ราย) แม้มูลค่าการลงทุนจะลดลง 1,242 ล้านบาท (1%) (ปี 2566 ลงทุน 127,532 ล้านบาท / ปี 2565 ลงทุน 128,774 ล้านบาท) แต่มีการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น 1,592 ราย (30%) (ปี 2566 จ้างงาน 6,845 คน / ปี 2565 จ้างงาน 5,253 คน)

10 ประเทศที่เป็นที่สุดของการลงทุนในพื้นที่ EEC ของประเทศไทย

ปี 2566 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 134 ราย (20%) ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย มูลค่าการลงทุน จำนวน 38,613 ล้านบาท (30%) ของเงินลงทุนทั้งหมด

อันดับที่ 1 ญี่ปุ่นนักลงทุน 44 ราย (32.8 %)ทุน 7,053 ล้านบาท (18.3%)
อันดับที่ 2 จีน        นักลงทุน 30 ราย (22.4%)  ทุน 4,128 ล้านบาท (10.7%)
อันดับที่ 3 ฮ่องกงนักลงทุน 10 ราย (7.5%)ทุน 14,573 ล้านบาท (37.6%)
อันดับที่ 4 สิงคโปร์ นักลงทุน 8 ราย (5.9%)ทุน 3,653 ล้านบาท (9.4%)
อันดับที่ 5 สหรัฐอเมริกานักลงทุน 7 ราย (5.2%)ทุน 65 ล้านบาท (0.1%)
อันดับที่ 6 เกาหลีใต้นักลงทุน 7 ราย (5.2%)                 ทุน 331 ล้านบาท (0.8%)
อันดับที่ 7 ไต้หวันนักลงทุน 6 ราย (4.4%)                 ทุน 743 ล้านบาท (1.9%)
อันดับที่ 8 สวิตเซอร์แลนด์ นักลงทุน 5 ราย (3.7%)                 ทุน 714 ล้านบาท (1.8%)
อันดับที่ 9 ลักเซมเบิร์กนักลงทุน 3 ราย (2.2%)                ทุน 1,453 ล้านบาท (3.7%)
อันดับที่ 10 นอร์เวย์     นักลงทุน 2 ราย (1.4%)                 ทุน 376 ล้านบาท (0.9%)

10 ประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนประกอบธุรกิจในพื้นที่ EEC

อันดับที่ 1 บริการรับจ้างผลิตจำนวน 58 ราย (43.2%) ทุน 17,662 ล้านบาท (45.7%)
อันดับที่ 2 บริการให้เช่า 
(สินค้า/ที่ดิน/อาคาร)
จำนวน 17 ราย (12.6%)   ทุน 13,522 ล้านบาท (35%)
อันดับที่ 3 ค้าส่งสินค้าจำนวน 11 ราย (8.2%)            ทุน 3,080 ล้านบาท (7.9%)
อันดับที่ 4 บริการทางวิศวกรรมจำนวน 10 ราย (7.4%)           ทุน 93 ล้านบาท (0.2%)
อันดับที่ 5 ค้าปลีกสินค้าจำนวน 7 ราย (5.2%)              ทุน 844 ล้านบาท (2.1%)
อันดับที่ 6 บริการให้คำปรึกษา    
แนะนำ และบริหารจัดการ
จำนวน 5 ราย (3.7%)               ทุน 192 ล้านบาท (0.5%)
อันดับที่ 7 บริการทางการเงิน       จำนวน 4 ราย (2.9%)              ทุน 1,589 ล้านบาท (4.1%)
อันดับที่ 8 บริการติดตั้ง ซ่อมแซม 
และบำรุงรักษา
จำนวน 4 ราย (2.9%)               ทุน 83 ล้านบาท (0.2%)
อันดับที่ 9 กิจการโรงแรม           จำนวน 1 ราย (0.7%)             ทุน 100 ล้านบาท (0.3%)
อันดับที่ 10 การขายอาหาร
และเครื่องดื่ม
จำนวน 1 ราย (0.7%)             ทุน 25 ล้านบาท (0.1%)

ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ปี 2567

ภาพรวมธุรกิจในปี 2567 คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามคาดการณ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ได้คาดการณ์ไว้ที่ 2.7 – 3.7% และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกไว้ที่ 2.7%

สอดคล้องกับกระทรวงการคลังที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 3.2 ต่อปี จากปัจจัยสนับสนุนของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง

รวมทั้ง มาตรการภาครัฐด้านต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการบริโภคของภาคเอกชน เช่น โครงการ อี-รีฟันด์ (e-Refund) มาตรการลดหย่อนภาษี (Easy E-receipt) มาตรการแก้หนี้นอกระบบ และนโยบายสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ที่จะช่วยสร้างกระแสหรือความนิยมและมูลค่าเพิ่มให้กับเรื่องต่างๆ เป็นต้น

สำหรับปัจจัยลบหรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการประกอบธุรกิจในปี 2567 ที่ควรจับตามอง ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อาจส่งผลต่อการค้าและการลงทุนโลก ความผันผวนของตลาดการเงินโลก สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย

รวมทั้ง ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติและสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจส่งผลต่อสถานการณ์แล้งและต้นทุนราคาอาหาร นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ภาระหนี้สินต่อครัวเรือนที่สูง ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เป็นอีกปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในปี 2567 ได้

ปี 2567 มีกระแสความนิยมหรือเทรนด์ (Trend) ต่างๆ ที่คาดว่าจะเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รูปแบบการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่

เทรนด์สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี สินค้าและบริการที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่สามารถตอบสนองความสะดวกสบายให้กับผู้คนในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตแทบทุกด้าน

เห็นได้จากสินค้าและบริการเหล่านี้มีอยู่ในเกือบทุกบ้าน ซึ่งการผลิตสินค้าและบริการด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ยังคงเป็นที่สนใจของผู้บริโภคอยู่เสมอ

เทรนด์การใส่ใจสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อม ที่ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรต่างๆ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การใช้งานซ้ำ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น การที่ผู้ดำเนินธุรกิจให้ความใส่ใจในกระบวนการดังกล่าว ถือเป็นสิ่งที่สร้างความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจ

เทรนด์สังคมผู้สูงอายุ ปัจจุบันธุรกิจไม่อาจมองข้ามกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันถือว่าเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ และขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และมีอิทธิพลต่อคนในครอบครัว

หากธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของสินค้าและบริการกลุ่มนี้ได้ จึงถือเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจในการขยายกลุ่มลูกค้าและเพิ่มสัดส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจได้

จากปัจจัยข้างต้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า คาดการณ์จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ ปี 2567 น่าจะมีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมีจำนวนการจัดตั้งทั้งสิ้น 85,300 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 12%

ซึ่งส่งผลให้ในปี 2567 คาดการณ์ตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่อยู่ที่ 90,000-95,000 ราย เพิ่มขึ้นประมาณ 5 – 10% จากปี 2566 และคาดว่าจะมีนักลงทุนชาวต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 – 1.4 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5 – 10%

นอกจากนี้ ภายใต้สภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม และรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้ง สภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง ภาคธุรกิจควรตั้งรับและปรับตัวให้ทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

โดยอาจขยายตลาดและหากลุ่มลูกค้าใหม่ เพิ่มกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมทั้งรักษาฐานลูกค้าเดิม บริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนในการผลิต โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการให้เข้ากับความต้องการของตลาดมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบ จากกำลังซื้อภาคครัวเรือนที่อาจลดลง จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ผู้ประกอบธุรกิจควรดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล หรือ ESG เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ สร้างความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนทั้งในประเทศและในระดับสากล” อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้าย