fbpx
News update

AP โชว์แบ็คล็อกกว่า 5.6 หมื่นล้าน ส่งแบรนด์ใหม่ ‘อภิทาวน์’ รุก 5 หัวเมืองตจว.

Onlinenewstime.com :  เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าไปต่อ หลังตลาดเริ่มฟื้นเซนติเมนต์เป็นบวก เชื่อดีมานด์ คอนโดฯ ยังไม่หาย ด้วยความคุ้มค่าของสินทรัพย์ ที่มากกว่าการลงทุนรูปแบบอื่น ยกให้สินค้าแนวราบเป็นซูเปอร์สตาร์ของปี

เตรียมพร้อมมูฟออนตามโรดแมพ MASTERPLAN FOR TOMORROW ขยายขอบเขตในการสร้างพิมพ์เขียวแห่งการอยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ด้วยการเปิด 26 โครงการใหม่ มูลค่า 26,000 ล้านบาท

พร้อมปั้น ‘อภิทาวน์’ แบรนด์ใหม่บุกตลาดต่างจังหวัด นำร่อง 5 จังหวัด พร้อมเตรียมโอนฯ 2 คอนโดใหม่ LIFE อโศก-พระราม 9 และ ASPIRE อโศก-รัชดา เติบโตอย่างมั่นคงด้วยแบ็คล็อกในมือมากกว่า 56,149 ล้านบาท รับรู้รายได้จนถึงปี 2566

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า“วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เปรียบเหมือนเป็นซูเปอร์โนวาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก สร้างผลกระทบที่ใหญ่ และรุนแรงกว่าวิกฤตครั้งไหนในอดีต ซึ่งตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯ ดำเนินงานด้วยความระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการปรับแผนงานให้สอดรับกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา

นายวิทการ จันทวิมล

โดยมี EMPOWER LIVING เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญขององค์กร ส่งผลให้ในครึ่งปีแรกบริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายรวมได้ทั้งสิ้น 15,085 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ 14 โครงการ มูลค่า 15,500 ล้านบาท และจากโครงการอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการขายอีกกว่า 100 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 70,000 ล้านบาท

พร้อมประสบความสำเร็จในการโอนกรรมสิทธิ์ LIFE ลาดพร้าว คอนโดมิเนียมร่วมทุน ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มทยอยส่งมอบ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เชื่อว่าดีมานด์คอนโดยังไม่หาย ด้วยความคุ้มค่าของสินทรัพย์ที่มากกว่าการลงทุนรูปแบบอื่น”

แผนครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังของปี 2563 บริษัทฯ ยังคงดำเนินงานตามโรดแมพ MASTERPLAN FOR TOMORROW  ที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ด้วยการเดินหน้า ขยายขอบเขตในการสร้างพิมพ์เขียวแห่งการอยู่อาศัยคุณภาพ ให้ครอบคลุมความต้องการของคนไทยที่มากขึ้น

ผ่านแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบใน 5 จังหวัด ด้วยแบรนด์ ‘อภิทาวน์’ มูลค่ารวม 4,700 ล้านบาท ได้แก่ นครศรีธรรมราช ระยอง อยุธยา ขอนแก่น และเชียงราย

ในรูปแบบโครงการแบบมิกซ์ โปรดักส์ (Mix Products) ตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัย ทั้งในแบบบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ราคาเริ่มต้น 1.5 – 9 ล้านบาท

พร้อมแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ อีกจำนวน 21 โครงการ โดยเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 7,970 ล้านบาท และทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 13,330 ล้านบาท

รวมครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 26 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท

“อภิทาวน์ จะเป็นชื่อแบรนด์สินค้า ในกลุ่มต่างจังหวัดที่เพิ่มเข้ามาในพอร์ตเอพี ซึ่งสื่อถึงความตั้งใจของเอพีที่จะสร้าง และส่งมอบมาสเตอร์แพลนแห่งการอยู่อาศัย ที่มีคุณภาพให้กับคนไทยทุกคน ด้วยการผสาน 2 จุดแข็งหลัก ได้แก่

1. การเป็นผู้นำในเรื่องของสเปซดีไซน์ (Leading in SPACE Design) โดยรูปแบบบ้าน ในแต่ละโครงการ จะได้รับการออกแบบ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการ และพฤติกรรมของคนในแต่ละจังหวัดตามคอนเซ็ปต์ Dynamic Personalized Model

2. Tech-Life Management การนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ในการอยู่อาศัย ด้วยการติดตั้งนวัตกรรมคัดสรรภายในโครงการ ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารจัดการความปลอดภัยภายในหมู่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง ทำหน้าที่คัดสรร ดูแลความปลอดภัย ในทุกมิติของการอยู่อาศัย ภายในหมู่บ้านจัดสรร ผ่านระบบแพลตฟอร์มอัจฉริยะ

โดยพร้อมเปิดตัวโครงการแรกที่ อภิทาวน์ นครศรีธรรมราช พรีเซลในช่วงวันที่ 26-27 กันยายน และโครงการอื่นๆ ในช่วงเดือนตุลาคม” นายวิทการ กล่าวเสริม

สำหรับสินค้าคอนโดมิเนียมในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ มีคอนโดมิเนียมใหม่ ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ในแผน การส่งมอบอีกจำนวน 2 โครงการ ได้แก่LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่าโครงการ 9,800 ล้านบาท สถานะยอดขาย 94% พร้อมส่งมอบเดือนสิงหาคมนี้ และ ASPIRE อโศก-รัชดา มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท ยอดขาย 95% พร้อมส่งมอบเดือนสิงหาคมนี้

พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังมีแบ็คล็อกคอนโดมิเนียม ที่รอรับรู้ไปในอีก 3 ปีข้างหน้า (จนถึงปี 2566) มูลค่ามากถึง 42,915 ล้านบาท

ด้านโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย บริษัทฯ มีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 18 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 21,000 ล้านบาท จึงมั่นใจว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะส่งผลให้ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุนระยะสั้น ชะลอการตัดสินใจลงทุน แต่ลูกค้ากลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ก็ยังคงเห็นถึงความคุ้มค่าของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น

และถึงแม้บริษัทฯ จะขยับแผนการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ออกไป แต่ทีมงานทุกคน ยังคงทำงานตามแผนเดิม เพื่อให้โครงการพร้อมเปิดตัวทันที หากสถานการณ์ในไตรมาส 4 มีทิศทางที่ดีขึ้นหรือมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ

“ผลกระทบครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีต เรายังคงอยู่กับสภาวะความผันผวนเช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิม Challenge ที่น่าสนใจคือ วันนี้คำว่า New Normal ที่เราพูดถึงกันนั้น ยังเกิดขึ้นอย่างไม่สมบูรณ์แบบ  วิกฤตยังเดินไปไม่ถึงตอนจบ ยังไม่รู้ว่าอีก 6 เดือนข้างหน้า จะมีเซอร์ไพรส์อะไรอีก

ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปต่อ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ นอกจากความพร้อมของคนในองค์กร การบริหารกระแสเงินสดแล้ว แผนธุรกิจที่ยืดหยุ่น คือหนทางที่จะผ่านวิกฤตในครั้งนี้ ซึ่งที่ผ่านมาโครงการภายใต้แบรนด์ AP มีพื้นฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว สะท้อนได้จากกราฟการเข้าเยี่ยมชมโครงการ และยอดขายที่มีสัญญาณเป็นบวก

โครงการแนวราบ ก็มีสัดส่วนการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนยอดการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ LIFE ลาดพร้าวที่เริ่มทยอยโอนในเดือนมีนาคม จึงเชื่อว่าภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง จะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นเรื่อยๆ และเข้าสู่ภาวะสมดุลในเร็ววัน” นายวิทการ กล่าวเสริม

สรุปแผนการดำเนินงานธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2563 ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2563

ทั้งปี 2563 บริษัทฯ เปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวม 41,500 ล้านบาท จำนวน 40 โครงการ โดยแบ่งเป็นสินค้าบ้านเดี่ยวจำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวม 20,470 ล้านบาท ทาวน์โฮม 17 โครงการ มูลค่า 16,330 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,700 ล้านบาท

และมีสินค้าคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่างการขายจำนวน 18 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 21,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายที่ 33,500 ล้านบาท  ตั้งเป้ารายได้รวม 100% โครงการร่วมทุน 40,550 ล้านบาท เปิดตัวไปแล้วในครึ่งปีแรกจำนวน 14 โครงการ มูลค่าประมาณ 15,500 ล้านบาท สร้างยอดขายครึ่งปีแรกเท่ากับ 15,085 ล้านบาท

ในปีนี้บริษัทฯ มีโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จ เตรียมส่งมอบจำนวน 4 โครงการ เริ่มส่งมอบไปแล้วในครึ่งปีแรก ได้แก่ LIFE ลาดพร้าว มูลค่า 8,000 ล้านบาท และ ASPIRE สุขุมวิท-อ่อนนุช มูลค่า 1,600 ล้านบาท และเตรียมส่งมอบในครึ่งปีหลังอีก 2 โครงการ ได้แก่ LIFE อโศก-พระราม 9 มูลค่า 9,800 ล้านบาท และ ASPIRE อโศก-รัชดา มูลค่า 2,900 ล้านบาท

ณ วันที่ 31 มิถุนายน 2563 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 56,149 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 13,234 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมด ภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียม มูลค่า 42,915 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ประมาณ 15,602 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566