fbpx
News update

วิกฤต “ดื้อโบท็อกซ์” ปัญหาระดับโลก ผลสำรวจเอเชีย-แปซิฟิกเผย ผู้บริโภคยังขาดความรู้ แนะ ปรึกษาแพทย์เสริมความงาม

ซึ่งบริษัทเมิร์ซ เอสเธติกส์ สนับสนุนให้จัดทำผลการสำรวจดังกล่าวครอบคลุมผู้บริโภคและบุคลากรทางการแพทย์ และได้ถูกนำเสนอในเวทีเสวนาระดับนานาชาติของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม Aesthetic Council for Ethical use of Neurotoxin Delivery (ASCEND) โดยการเสวนาในเวทีนี้มีการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับแนวปฏิบัติบัติที่ดี และข้อควรคำนึงด้านจริยธรรมในการใช้สารโบทูลินัมท็อกซิน เอ (BoNT-A) ซึ่งใช้ทั้งในด้านความงามและการรักษาทางการแพทย์

โดยสัปดาห์นี้ ได้มีการจัดการประชุม DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมระดับโลกด้านแพทย์ผิวหนังและความงาม DASIL (Dermatology, Aesthetics, and Surgery International League) World Congress ครั้งที่ 12 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม และถือเป็นการประชุม DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2565

การสำรวจล่าสุดเผยให้เห็นข้อมูลสำคัญเชิงลึกและข้อท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วย BoNT-A จากอัตราความชุก (prevalence) ของผู้บริโภคที่เข้าร่วมการสำรวจ พบว่าประสิทธิผลในการรักษาด้วยโบทูลินัม ท็อกซินลดลง และยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 812 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 79 ในปี 2564 และร้อยละ 69 ในปี 2561 โดยผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่า พวกเขารู้สึกวิตกกังวล เศร้า และกังวลใจอันเป็นผลมาจากประสิทธิผลของการรักษาที่ลดลง

  • ผู้บริโภคจำนวนมากที่ทำการสำรวจ เผชิญกับผลการรักษาที่ลดลงและตระหนักถึงปัจจัยที่อาจมีส่วนทำให้เกิดผลดังกล่าว
  • ร้อยละ 52 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจชี้ว่าเกิดจากภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน2
  • ร้อยละ 54 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจระบุว่าเป็นผลจากผลิตภัณฑ์โบทูลินัมท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอม (impurities)*2
  • ร้อยละ 45 ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจอ้างถึงปริมาณสารที่ใช้ระหว่างการรักษา2
  • แม้จะตระหนักถึงปัญหานี้ แต่ร้อยละ 66  ของผู้บริโภคที่ทำการสำรวจมีพฤติกรรมที่อาจทำให้ภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินรุนแรงขึ้น เช่น การเพิ่มปริมาณสารในการรักษาหรือการรับการรักษาถี่ขึ้น2

ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากที่เข้าร่วมการสำรวจอาจติดรูปแบบพฤติกรรมหรือการกระทำที่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน

ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น แต่อาจส่งผลให้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องแย่ลงไปด้วย ในกรณีที่ประสิทธิผลของการรักษาลดลงเนื่องมาจากการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน โดยการลดลงของประสิทธิผลในการรักษาด้วย BoNT-A เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่อาจบ่งชี้ถึงอุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินเท่านั้น

ดร. นีม คอร์ดัฟ แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง FRACS และผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ RiverEnd Aesthetics รวมถึงผู้ดำเนินรายการในการอภิปรายของ ASCEND กล่าวว่า “ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าคนไข้ที่เข้าร่วมการสำรวจส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าการรักษาด้วย BoNT-A สามารถนำไปสู่ภาวะดื้อต่อ BoNT-A ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง

หนึ่งในวิธีการป้องกันคือการเลือกใช้ BoNT-A ที่มีความบริสุทธิ์สูง เนื่องจากมีตัวเลือก BoNT-A หลากหลายในตลาด จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเสริมความงามที่จะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าอะไรคือสูตร BoNT-A ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง+bและเน้นย้ำถึงความสำคัญของความบริสุทธิ์ของท็อกซินเพื่อลดความเสี่ยงในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

สิ่งนี้จะช่วยให้คนไข้และบุคลากรทางการแพทย์สามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยและประสิทธิผลของการรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซิน ทั้งในด้านความงามและการแพทย์ในระยะยาว”

ในระหว่างการอภิปราย คณะผู้เชี่ยวชาญ ASCEND ได้นำเสนอบทความฉันทามติเรื่อง “นัยยะในโลกแห่งความเป็นจริงของภาวะการดื้อต่อ BoNT-A สำหรับผู้บริโภคและผู้ให้บริการด้านความงาม: ข้อมูลเชิงลึกจากคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามชั้นนำระดับนานาชาติ ASCEND” โดยมี ดร. คอร์ดัฟ เป็นผู้เขียนหลัก

ซึ่งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซินและบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแลในการเลือกใช้สูตรโบทูลินัมท็อกซินที่บริสุทธิ์5 สิ่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงผลการสำรวจที่แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 84 ของบุคลากรทางการแพทย์ยอมรับว่าสูตร  โบทูลินัมท็อกซินของแบรนด์ต่างๆ มีความแตกต่างกันและมีความบริสุทธิ์ต่างกัน

และมากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยว่าการได้รับการรักษาด้วยสารท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอม* เป็นประจำ อาจส่งผลให้ร่างกายของคนไข้พัฒนาแอนติบอดีมายับยั้งการออกฤทธิ์ของ BoNT-A ได้6

บทความฉันทามติฉบับนี้ยังสนับสนุนการนำแนวทางการคัดกรองมาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อตรวจหากรณีที่ประสิทธิผลการรักษาของโบทูลินัมท็อกซินลดลงเนื่องมาจากมีการสร้างแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ และสร้างหลักการทำงานที่เป็นมาตรฐาน5

จากการสำรวจบุคลากรทางการแพทย์มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้โบทูลินัมท็อกซินอย่างปลอดภัยสำหรับคนไข้นั้นมีความสำคัญ6

ปัจจุบันนี้ บุคลากรทางการแพทย์มีวิธีการรับมือต่อประสิทธิผลการรักษาที่ลดลง รวมถึงการทำการทดสอบวินิจฉัย (ร้อยละ 47) การเปลี่ยนแบรนด์ (ร้อยละ 33) การทำการทดสอบคัดกรอง (ร้อยละ 27) หรือการแนะนำให้ยุติการรักษาทั้งหมด (ร้อยละ 24)6

บทความฉันทามตินี้ยังระบุว่าบุคลากรทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารอย่างทันท่วงทีเกี่ยวกับความเสี่ยงในการรักษาและการกำหนดความคาดหวังของคนไข้หลังจากมีการพูดคุยหารือกันในขั้นต้น

นอกจากนี้ ยังแนะนำว่าบุคลากรทางการแพทย์ควรจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ระหว่างขั้นตอนการขอความยินยอมในการรักษา และควรบันทึกไว้ในเวชระเบียนอย่างชัดเจน5

ในระหว่างการอภิปราย ดร.เซียว ตั๊ก หวา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ Radium Aesthetics ได้แบ่งปันกรณีศึกษาคนไข้จากสิงคโปร์ โดยกล่าวว่า

“ผมใช้เวลา 3 ปี กว่าคนไข้จะเริ่มตอบสนองต่อการรักษาด้วยโบทูลินัมท็อกซินอีกครั้ง เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการแก้ไขเรื่องแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ได้ ในบางกรณีอาจใช้เวลาหลายปี และในบางกรณีก็อาจไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้

การป้องกันจึงมักจะดีกว่าการรักษา ตัวเลือกที่รอบคอบที่สุดคือการเริ่มต้นรับการรักษาด้วยสูตรโบทูลินัมท็อกซินที่บริสุทธิ์ตั้งแต่แรก หรือเปลี่ยนมาใช้สูตรนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน”

การเลือกแบรนด์ BoNT-A ที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้นการรักษานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง คนไข้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสูตรโบทูลินัมท็อกซิน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา รวมถึงความเสี่ยงที่จะดื้อต่อโบทูลินัมท็อกซิน และประโยชน์ของการใช้ผลิตภัณฑ์ BoNT-A ที่บริสุทธิ์+ โดยสามารถอ่านบทความฉันทามติฉบับเต็มได้ที่ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC11188869/