onlinenewstime.com : เหตุผลที่ หัวเรือใหญ่ของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทวิตเตอร์ ประกาศหยุดแคมเปญโฆษณาทางการเมืองทั่วโลกนั้น
แจ็ค ดอร์ซีย์ (Jack Dorsey) ซีอีโอของทวิตเตอร์ ได้ประกาศผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ว่า การที่เขาตัดสินใจหยุดการทำแคมเปญโฆษณาทางการเมือง ใน Twitter ทั่วโลก เพราะเชื่อว่า ข้อความทางการเมือง ที่ควรได้รับนั้น ไม่ใช่มาจากการซื้อ แม้ว่า การโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตนั้น จะมีประสิทธิภาพอย่างมากสำหรับผู้โฆษณาเชิงพาณิชย์
We’ve made the decision to stop all political advertising on Twitter globally. We believe political message reach should be earned, not bought. Why? A few reasons…?
— jack ??? (@jack) October 30, 2019
พร้อมระบุว่า พลังนั้นนำมาซึ่งความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อการเมือง เพราะการเมืองที่ใช้สื่อโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต นำเสนอวาทกรรม และข้อมูลที่กระจายไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ถูกตรวจสอบนั้น ทำให้เกิดการเข้าใจผิด
สำหรับการดำเนินการในเรื่องนี้ แจ็ค ดอร์ซีย์ บอกว่า จะเริ่มประกาศนโยบายให้ทราบอย่างเป็นทางการใน วันที่ 15 พฤศจิกายน และจะเริ่มบังคับใช้นโยบายดังกล่าวในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562
ข้อความฉบับเต็มของ แจ็ค ดอร์ซีย์ จากทวิตเตอร์
เราได้ตัดสินใจให้ยุติโฆษณาทางการเมืองทั้งหมดใน Twitter ทั่วโลก เพราะเราเชื่อว่า ในทางการเมือง ควรเป็นเรื่องของการเข้าถึงข้อมูล มากกว่าเป็นการซื้อเพื่อให้ได้มา ด้วยเหตุผลดังนี้
ข้อความทางการเมือง จะได้รับสถิติการเข้าถึง เมื่อมีผู้ตัดสินใจติดตามบัญชี หรือรีทวีต การจ่ายเงินเพื่อให้ได้ตัวเลขการเข้าถึง จะทำให้การตัดสินใจ และการไตร่ตรองข้อมูลนั้นๆหมดไป กลายเป็นการชี้นำ ให้รับข่าวสารตามที่ตั้งใจ และมุ่งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งการตัดสินใจเรื่องการเมืองเหล่านี้ ไม่ควรจะทำให้ผันแปรไปได้ด้วยเงิน
ในขณะที่การโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต มีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อ สำหรับการใช้ในเชิงพาณิชย์ แต่ประสิทธิภาพดังกล่าว ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อการเมือง ที่มีอิทธิพลเหนือการเลือกตั้ง และส่งผลกระทบไปสู่ผู้คนหลายล้านคน
โฆษณาการเมืองทางอินเทอร์เน็ต สร้างความท้าทายใหม่ๆ ให้เกิดวาทกรรมทางการเมือง การเพิ่มประสิทธิภาพ โดยอาศัยเทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อการส่งข่าวสารและกำหนดเป้าหมาย ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิด โดยไม่ถูกตรวจสอบ และการสร้างเฟคนิวส์ ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างการครอบงำความคิด อย่างรวดเร็ว และซับซ้อน
ความท้าทายเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อการสื่อสารทั้งหมดทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่โฆษณาทางการเมือง ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุด คือเราพยายามแก้ปัญหาจากต้นตอ โดยไม่สร้างภาระเพิ่มเติม และสร้างความซับซ้อนในการหารายได้ ซึ่งความพยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้ ถ้าทำไม่ถูกต้อง จะเป็นอันตรายต่อความน่าเชื่อถือของเราทันที
ยกตัวอย่างเช่น ความน่าเชื่อถือของเราจะหมดไปทันที เหมือนเราพูดว่า “เรากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหยุดยั้งผู้คนไม่ให้เผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ว่า…ถ้ามีคนจ่ายเงินให้เรา เพื่อกำหนดเป้าหมาย และบังคับให้คนดูโฆษณาทางการเมือง เขาอยากจะพูดอะไรก็ได้!”
ดังนั้น เราจึงตัดสินใจหยุดการโฆษณาทางการเมืองของผู้ลงสมัครเลือกตั้ง แต่ก็ยังมีโฆษณา ที่นำเสนอแบบอ้อมๆอยู่ ซึ่งไม่ยุติธรรมสำหรับทุกคน มีเพียงผู้สมัครที่จะซื้อโฆษณา เพื่อประเด็นที่ต้องการผลักดันเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ เราจึงจะหยุดโฆษณาลักษณะนี้ด้วย
เราตระหนักดีว่า เราเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของระบบการโฆษณาทางการเมือง ที่มีขนาดใหญ่มหาศาล ซึ่งบางคนอาจไม่เห็นด้วยกับเราในวันนี้ และการตัดสินใจของเรา ก็อาจเป็นประโยชน์แก่ผู้ครอบครองตลาดโฆษณาอีกด้วย แต่เราได้เห็นการเคลื่อนไหวทางสังคมจำนวนมาก ที่ไปถึงการเติบโตที่ดี โดยไม่ต้องพึ่งโฆษณาทางการเมืองใดๆ ซึ่งเรามีความเชื่อในการเติบโตนั้น
เราต้องการระเบียบโฆษณาทางการเมือง ที่มองไปข้างหน้ามากขึ้น (ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก) ข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของโฆษณานั้น ถึงจะมีความคืบหน้าไปมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะอินเทอร์เน็ต สร้างความสามารถใหม่ๆ ออกมาเสมอ หน่วยงานที่กำกับดูแล จึงต้องคิดโดยการมองย้อนจากอดีต มาถึงปัจจุบัน เพื่อให้แน่ใจในระดับของการควบคุม
เราจะประกาศนโยบายภายในวันที่ 15 พ.ย. นี้ ครอบคลุมไปถึงข้อยกเว้นบางประการ (โฆษณาที่สนับสนุน การลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ยังคงได้รับการอนุญาต) โดยจะเริ่มบังคับใช้นโยบายใหม่ของเราในวันที่ 22 พ.ย. เพื่อแจ้งให้ผู้โฆษณาปัจจุบันทราบระยะเวลาล่วงหน้า ก่อนการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผล
บันทึกสุดท้าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการแสดงออกทางความคิดเห็นอย่างเสรี แต่เป็นเรื่องการใช้เงินซื้อยอดการเข้าถึง (Reach) และการใช้เงินเพื่อสร้างยอดการเข้าถึงโฆษณาทางการเมืองนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรากฐานของประชาธิปไตยในปัจจุบัน ซึ่งยังไม่พร้อมจะรับมือ จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เราจะถอยออกมา