Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

สรรพสามิต ผลักดันไทยเป็น “ศูนย์กลางผลิตอีวี” ในภูมิภาค ประเดิมบันทึกข้อตกลงตามมาตรการ EV 3.5 กับ ฉางอาน เอสเอไอซี และ เกรท วอลล์ มอเตอร์

โดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต ร่วมลงนามในข้อตกลงการรับสิทธิตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 กับ 3 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด

ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตได้เดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 ในช่วงปี 2567 – 2570 เพื่อส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

ควบคู่กับการขยายโอกาสของประเทศไทยในเวทีโลก ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญในประเทศไทย ให้เกิดการขยายตัวและเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค ตามนโยบาย 30@30 ที่ตั้งเป้าการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) และยังมีอีกหลายบริษัทที่อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมลงนามในข้อตกลงรับสิทธิ

1. รถยนต์นั่ง (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท) จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังนี้

1.1 สิทธิเงินอุดหนุน

1) ขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 10 kWh แต่ไม่เกิน 50 kWh

1.1) ปี 2567 จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท/คัน

1.2) ปี 2568 จะได้รับเงินอุดหนุน 35,000 บาท/คัน

1.3) ปี 2569 – 2570 จะได้รับเงินอุดหนุน 25,000 บาท/คัน

2) ขนาดแบตเตอรี่ ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป

2.1) ปี 2567 จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน

2.2) ปี 2568 จะได้รับเงินอุดหนุน 75,000 บาท/คัน

2.3) ปี 2569 – 2570 จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาท/คัน

1.2 สิทธิลดอัตราอากรขาเข้าไม่เกินร้อยละ 40 (สำหรับรถที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่มีการนำเข้าในช่วงปี 2567 – 2568)

1.3 สิทธิลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 ในปี 2567 – 2570

2. รถยนต์นั่ง (ราคาตั้งแต่ 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้รับสิทธิลดภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2

3. รถกระบะ (เฉพาะที่ผลิตภายในประเทศ และราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาท/คัน และได้รับสิทธิอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 0 ในปี 2567 – 2568 และอัตราภาษีร้อยละ 2 ในปี 2569 – 2570

4. รถจักรยานยนต์ (เฉพาะที่ผลิตภายในประเทศ และราคาไม่เกิน 150,000 บาท) ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน  และได้รับสิทธิอัตราภาษีสรรพสามิตร้อยละ 1 ในปี 2567 – 2570

และเพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ กรมสรรพสามิตได้กำหนดเงื่อนไขให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 จะต้องทำการผลิตรถยนต์เพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 ในอัตราส่วน 1 : 2 ของจำนวนนำเข้าในช่วงปี 2567 – 2568 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) และผลิตชดเชยการนำเข้าภายในปี 2570 ในอัตราส่วน 1 : 3 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 3 คัน)

ดร. เอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดการณ์การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากมาตรการ EV 3.5 ประมาณ 175,000 คัน ในปี 2567-2568 ส่งผลให้เกิดการผลิตรถยนต์ภายในประเทศ ประมาณ 350,000 – 525,000 คัน ภายในปี 2570 โดยมียอดประมาณการเงินอุดหนุน ในมาตรการ EV 3.5 อยู่ที่ 34,060 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี มาตรการ EV 3.5 ในครั้งนี้ จะเป็นการช่วยส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันควบคู่กับการสร้างโอกาสในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

รวมถึงสนับสนุนและส่งเสริมในเรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามยุทธศาสตร์กรมสรรพสามิต ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน

Exit mobile version