
Key Highlights
- มูลค่าส่งออกเดือน ก.พ. เติบโต 14.0%YoY ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ 13.6%YoY โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรยังคงขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปตลาดหลักต่างขยายตัว ด้านการนำเข้าชะลอตัวลงจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 4.0%YoY ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 1,988.3 ล้านดอลลาร์ฯ
- แม้การส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 แต่ยังคงเผชิญความเสี่ยงทั้งจากผลของสงครามการค้าและปัจจัยการเร่งส่งออกที่จะปรากฎชัดในระยะถัดไป จับตาการประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในเดือน เม.ย. 2568 ของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อตัวเลขการส่งออกไทย
ดร. ฉมาดนัย มากนวล
กฤตตฤณ เหล่าฤทธิ์
Krungthai COMPASS
มูลค่าส่งออกเดือนธันวาคม 2567 ขยายตัว 14.0%YoY
มูลค่าส่งออกเดือน ก.พ. อยู่ที่ 26,707.1 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัว 14.0%YoY ต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ 13.6%YoY โดยการส่งออกสินค้าทั้งกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ต่างเติบโตต่อเนื่อง สำหรับการส่งออกทองคำในเดือนนี้เติบโตที่ 126.1%YoY ทำให้เมื่อหักทองคำแล้วมูลค่าส่งออกเดือนนี้ขยายตัวอยู่ที่ 13.6%YoY
โดยมีแรงขับเคลื่อนที่สำคัญจาก
- การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 17.2%YoY เติบโตต่อเนื่องจาก 17.0%YoY ในเดือนก่อน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (+51.3%) อัญมณีและเครื่องประดับ (+106.3%) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+32.8%) และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบกลับมาขยายตัว (+4.5%) เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (-13.2%)อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด (-46.1%) เป็นต้น
- การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 3.9%YoY จากเดือนก่อนที่ขยายตัวได้ 0.1%YoY โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 3.0%YoY จากเดือนที่ผ่านมาซึ่งเติบโต 9.9%YoY สวนทางกับสินค้าเกษตรที่หดตัว 1.6%YoY หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ 2.2%YoY โดยสินค้าส่งออกสำคัญที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ยางพารา (+35.7%) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ (+27.7%) น้ำตาลทราย (+ 25.8%) อาหารสัตว์เลี้ยง (+14.4%) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป (+9.3%) เป็นต้น ด้านสินค้าสำคัญที่หดตัวสูง ได้แก่ ข้าว (-34.3%) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-15.8%) และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (-3.7%) หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า เป็นต้น


การส่งออกรายตลาดสำคัญส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวจากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และทองคำเป็นสำคัญ
- จีน: ขยายตัว 22.4%YoY เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ด้านสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังและเม็ดพลาสติก เป็นต้น
- ญี่ปุ่น: หดตัว 3.1%YoY กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น ยางพารา เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
- EU27: ขยายตัว 4.5%YoY เติบโตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น
- ASEAN-5: หดตัว 0.5%YoY กลับมาหดตัวจากเดือนก่อน โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น สินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ส่วนสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
มูลค่าการนำเข้าเดือน ก.พ. อยู่ที่ 24,718.9 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัว 4.0%YoY ชะลอตัวจาก 7.9%YoY เมื่อเดือนก่อน โดยการนำเข้าที่หดตัว ได้แก่ สินค้าทุน (-11.8%YoY) สินค้ายานพาหนะฯ (-8.6%YoY) และสินค้าเชื้อเพลิง (-5.7 %YoY) ขณะที่การนำเข้าสินค้าที่ขยายตัวมีทั้งส่วนสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (+12.8%YoY) และสินค้าอุปโภคบริโภค (+10.3%YoY) ส่วนดุลการค้าเดือน ก.พ.เกินดุล 1,988.3 ล้านดอลลาร์ฯ


Implication:
- แม้การส่งออกเดือน ก.พ. ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ส่วนหนึ่งยังคงเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ การส่งออกของไทยขยายตัวส่วนหนึ่งจากแรงหนุนของการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโต และปัจจัยชั่วคราวตามการเร่งซื้อจากต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ (PMI Imports) เดือน ก.พ. อยู่ที่ระดับ 52.6 (จาก 51.1 เมื่อเดือนก่อน) สอดคล้องกับการผลิตโลกที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) เดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ระดับ 50.6 สูงกว่าเดือนก่อนที่ 50.1
- จับตาการประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในเดือน เม.ย. 2568 โดยสินค้าไทยเสี่ยงต่อการถูกเรียกเก็บ เนื่องจากมีส่วนต่างภาษีและเกินดุลกับสหรัฐฯมาก เช่น HDD คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ ล้อ โซลาร์เซลล์ และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นกลุ่ม TOP-6 ของสินค้าที่เกินดุลสหรัฐฯ
- หากมีการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อไทยย่อมกระทบการส่งออกของไทยในภาพรวม เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญคิดเป็นสัดส่วน 18.3% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยในปี 2567 (+13.7% YoY) โดยถือเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย
- มองต่อไปข้างหน้า ประเมินว่าสงครามการค้า ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะกระทบต่อการส่งออกไทย โดยในช่วงสงครามการค้ารอบก่อน การส่งออกของไทยเร่งตัวขึ้นก่อนสหรัฐฯจะเริ่มใช้มาตรการภาษีกับจีน แต่หลังจากการขึ้นภาษีในเดือน ก.ค. 2018 แล้ว การส่งออกไทยชะลอและหดตัวลง ดังนั้น การส่งออกที่เร่งตัวขณะนี้อาจเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่ในระยะข้างหน้ามีความเสี่ยงที่จะแผ่วลง
ทั้งนี้ ไทยเสี่ยงถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าโดยตรง ต่างจากรอบก่อนที่พุ่งเป้าเฉพาะจีน นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการแย่งตลาดของจีน ตลอดจนการกีดกันและตอบโต้ที่รุนแรงจะฉุดการค้าโลกให้อ่อนแรงลงอีกด้วย

