
Onlinenewstime.com : เมื่อความยั่งยืนไม่ได้เป็นแค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของธุรกิจ และโลกในยุคปัจจุบัน ทำให้เรื่องของความยั่งยืนนั้นไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ หรือกระแสอีกต่อไป ส่งผลให้ธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมต่างนำเรื่องของความยั่งยืนมาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจในปี 2025 นี้
รวมไปถึงกฎหมาย และข้อบังคับต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จึงยิ่งทำให้ธุรกิจต่างต้องปรับตัวและวิธีการดำเนินงานให้มุ่งไปสู่ความยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า สังคม รวมไปถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
finbiz by ttb รวบรวม 6 เทรนด์การทำธุรกิจแบบยั่งยืนที่น่าจับตามองในปี 2025 เพื่อให้ธุรกิจนำไปใช้วางแผน และกำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
1. Net Zero & Decarbonization: จากการวางแผนสู่การลงมือทำจริง
จากปัญหาสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอาจนำไปสู่ผลกระทบที่หลากหลาย ประกอบกับการออกกฎหมาย และข้อบังคับของภาครัฐ ทำให้ธุรกิจในหลายอุตสาหกรรมตื่นตัวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยธุรกิจหลายแห่งมีการตั้งเป้าหมายที่จะเป็น Net zero เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและกฎหมาย ในปี 2025 นี้เราจะเริ่มเห็นหลาย ๆ ธุรกิจจะเปลี่ยนโฟกัสจากการวางแผนมาเป็นการลงมือลดการใช้คาร์บอนกันอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น ผ่านมาตรการและการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน การลดการใช้ไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต และขนส่ง การพัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ เป็นต้น
โดยประเทศไทยตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2065 ตามร่างพ.ร.บ.ลดโลกร้อน (Climate Change Act) ทำให้การลดการใช้ก๊าซเรือนกระจกจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจ และต้องมีการตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการจัดทำบัญชี GHG (บัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) เพื่อนำส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. ESG Regulatory Framework : การเข้ามาของกฎหมายและข้อบังคับเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจต้องปรับตัว
กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับความความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมจะเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น โดย พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหากมีการบังคับใช้ในปี 2025 จะทำให้การตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการลดการใช้ก๊าซเรือนกระจก กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการดำเนินธุรกิจ ที่ต้องปฏิบัติตาม
และการรายงานผลความยั่งยืนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมไปถึงมาตรการจากต่างประเทศอย่าง European Green Deal เพื่อลดคาร์บอนไดออกไซด์ลง 55% ในปี 2030 นั้น จะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการสินค้าส่งออกไทย
เนื่องจากมีการออกมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ที่จะกำหนดราคาสินค้าบางประเภทเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งโดยแต่ละกลุ่มสินค้าจะมีข้อกำหนดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และวิธีการเรียกเก็บคาร์บอน
ดังนั้นธุรกิจจึงควรต้องศึกษาและเตรียมตัวให้พร้อม เริ่มต้นจากการตรวจวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ เพื่อสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปในการแสดงรายงานของกิจการ และนำไปใช้แสดงในฉลากของผลิตภัณฑ์ หรือบริการเพื่อใช้ส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของธุรกิจได้
3. Circular Economy & Zero Waste: การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
หนึ่งในเทรนด์ที่มาแรง และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนคือ เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ที่เปลี่ยนจากการผลิต-ใช้-ทิ้ง มาเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ใช้งานได้นานขึ้น และใช้ซ้ำได้ รวมถึงการนำไปรีไซเคิล เพื่อลดปริมาณของเสียได้อีกด้วย
เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่องค์กรในหลายอุตสาหกรรมได้นำไปประยุกต์ใช้ ทั้งธุรกิจแฟชั่น อิเล็กทรอนิกส์ บรรจุภัณฑ์ และอื่น ๆ โดยแนวคิดเรื่องของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่านั้นนอกจากจะตอบโจทย์เรื่องการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนแล้ว ยังช่วยให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก
อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรด้วย เพราะเมื่อใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็นจะช่วยลดการสร้างของเสีย และลดการซื้อของบางอย่างใน Supply Chain ได้มากขึ้น
4. Green Finance & ESG Investment: เงินทุนไหลสู่ธุรกิจสีเขียว
ภาคการเงินถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน มีการคาดการณ์ว่าตลาดการเงินสีเขียวทั่วโลกมีอัตราการเติบโต 12.2% ต่อปี แบบทบต้น ตั้งแต่ปี 2024 ถึงปี 2031 ทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับ ESG ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรสีเขียว สินเชื่อสีเขียว Sustainability-Linked Loans และกองทุนเพื่อความยั่งยืนกลายเป็นจุดสนใจในตอนนี้
ซึ่งแนวโน้มการลงทุนของธุรกิจในปีนี้จะเป็นการลงทุนที่คำนึงถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มากยิ่งขึ้น โดยองค์กรหรือธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว จำเป็นต้องมีแผนการดำเนินงานและมาตรวัดเกี่ยวกับความยั่งยืนที่ชัดเจน เพื่อที่จะได้รับข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนา และต่อยอดธุรกิจสู่ความยั่งยืนได้ดีมากยิ่งขึ้น
5. Sustainable Supply Chain: ความโปร่งใสและจริยธรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ในปี 2025 นี้ธุรกิจจำเป็นต้องดูและตรวจสอบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ตลอดทั้งซัพพลายเชนของการทำธุรกิจ รวมถึงมีการเก็บข้อมูลในทุก ๆ ขั้นตอนของซัพพลายเชน เช่น การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ถือเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน
จะต้องมีการเก็บข้อมูลตั้งแต่กิจกรรมต้นน้ำ กิจกรรมโดยตรงขององค์กรไปจนถึงกิจกรรมปลายน้ำ ทำให้ธุรกิจต้องเลือกสรรและใส่ใจในทุก ๆ กระบวนการของการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจได้ดำเนินการตามมาตรฐาน และมีขั้นตอนการดำเนินธุรกิจที่เป็นไปอย่างโปร่งใส
6. AI & Digitalization for Sustainability: เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
การนำ AI และ Digital Platform เข้ามาใช้ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนถือเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะการนำ AI และ Digital Platform เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เป็นมาตรวัดสำคัญ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ๊นท์ การบริหารจัดการพลังงาน และการคาดการณ์แนวโน้มสิ่งแวดล้อม
เนื่องจาก AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้เกิด Smart Manufacturing และ Smart Cities ที่จะทำให้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เมื่อ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่เทรนด์ของธุรกิจอีกต่อไป
ปี 2025 เป็นปีที่ธุรกิจต้องก้าวไปไกลกว่าแค่การ “ทำดีเพื่อภาพลักษณ์” แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล องค์กรที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับ 6 เทรนด์ธุรกิจยั่งยืนเหล่านี้จะไม่เพียงแค่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก
แต่ยังสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาวอีกด้วย และเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน finbiz by ttb ขอแนะนำโซลูชันการเงินสำหรับลูกค้าธุรกิจที่พร้อมตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ให้ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำไปใช้ต่อยอดในการเป็นธุรกิจรักษ์โลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ