fbpx
News update

DRaft – ผลสำรวจ GSK ชี้ วัย 50+ กว่าครึ่งรู้สึกเด็กกว่าวัย เสี่ยงมองข้ามภัยเงียบ ‘โรคงูสวัด’

Onlinenewstime.com : GSK เผยผลสำรวจระดับโลกเนื่องในสัปดาห์โรคงูสวัดประจำปี 2568 ของผู้ที่มีอายุระหว่าง 50-60 ปี พบว่า วัย 50+ มีความเครียดในระดับสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคงูสวัด และกว่าครึ่งรู้สึกเด็กกว่าอายุจริงจนอาจทำให้ขาดความตระหนักถึงความเสี่ยงของโรคที่มาพร้อมกับอายุ เพราะระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ตอกย้ำความสำคัญของการให้ความรู้ด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับโรคงูสวัดและผลกระทบของโรค รวมทั้งการส่งเสริมการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่สัมพันธ์กับอายุ 

พญ.บุษกร มหรรฆานุเคราะห์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทยจำกัด หรือ GSK กล่าวว่า “สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ (วันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 2 มีนาคม 2568) ถือเป็นสัปดาห์โรคงูสวัดทั่วโลก GSK ได้ร่วมกับสมาพันธ์ผู้สูงอายุสากล (IFA) รณรงค์ป้องกันโรคงูสวัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคงูสวัดโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป”

โรคงูสวัดเป็นโรคที่สร้างความเจ็บปวดและอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและยาวนาน เกิดจากไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ (VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส ผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสจะมีเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคงูสวัดแฝงตัวอยู่ในระบบประสาท ซึ่งอาจถูกกระตุ้นให้แสดงอาการเมื่ออายุมากขึ้น โดยผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากภูมิคุ้มกันที่ลดลงตามวัย  

ผู้ป่วยจะมีอาการผื่นที่มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพองใสบริเวณหน้าอก ท้อง หรือใบหน้า มีอาการปวดตามแนวของผื่น อาการปวดมักมีลักษณะปวดแสบปวดร้อน หรือปวดเหมือนไฟฟ้าช็อต และอาจเกิดอาการปวดเส้นประสาท (PHN) เป็นเวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และบางครั้งอาจคงอยู่นานหลายปี ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดของโรคงูสวัด โดยเกิดขึ้นในร้อยละ 5-30 ของผู้ป่วยโรคงูสวัดทั้งหมด ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย

นอกจากนี้ โรคงูสวัดอาจส่งผลต่อดวงตา โดยอาจสูญเสียการมองเห็นได้ในบางกรณี และอาจเกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น หัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง

ในสัปดาห์โรคงูสวัดประจำปี 2568 GSK ได้เผยแพร่ผลสำรวจทั่วโลกจัดทำโดย IPSOS โดยได้สำรวจออนไลน์กับผู้ใหญ่อายุ 50-60 ปี จำนวน 8,400 คนจาก 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล จีน เยอรมนี อินเดีย ไอร์แลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น โปรตุเกส และสหรัฐอเมริกา เพื่อสำรวจทัศนคติเกี่ยวกับการสูงวัยและความเข้าใจในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันที่สัมพันธ์กับอายุ โดยอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค เช่น โรคงูสวัด

ผลสำรวจระบุว่า 52% ของผู้ที่มีอายุ 50-60 ปีรู้สึกว่าตนเองอายุน้อยกว่าความเป็นจริง โดย 19% รู้สึกว่าตนเองอายุน้อยกว่าความเป็นจริงถึง 10 ปี และ 37% ของผู้ที่รู้สึกว่าตนเองอายุน้อยกว่าความเป็นจริง ยอมรับว่า “ไม่มีความกังวล” เกี่ยวกับโอกาสในการเกิดโรคงูสวัด ทั้งนี้ จากสถิติทั่วโลก ผู้ใหญ่ 1 ใน 3 จะมีโอกาสเป็นโรคงูสวัดในช่วงชีวิตของตน

พญ.บุษกรกล่าวว่า “ผลสำรวจชี้ว่า วัย 50+ จำนวนมากรู้สึกว่าตนเองอายุน้อยกว่าอายุจริง มีความสุข และมีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ผู้คนมีทัศนคติเชิงบวกต่อการสูงวัย อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเหล่านี้อาจทำให้ละเลยหรือมองข้ามความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุที่เพิ่มขึ้น เช่น โรคงูสวัด แม้ว่าผู้สูงวัยจะรู้สึกว่าตนเองมีสุขภาพดี

แต่การดูแลสุขภาพยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะความสามารถตามธรรมชาติของร่างกายในการป้องกันเชื้อโรคจะลดลงตามวัย ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสมเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ”

โรคร่วมความเครียด ปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นให้เกิดโรคงูสวัด

ผู้ตอบแบบสำรวจ 55% ไม่ทราบว่า โรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคไตเรื้อรัง ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอได้ และผู้ตอบแบบสำรวจในกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวระบุว่า ไม่มีความกังวลต่อการเป็นโรคงูสวัด และไม่ทราบว่า ควรจะกังวลต่อการเป็นโรคงูสวัดหรือไม่

ผู้ตอบแบบสำรวจ 68% ระบุว่า ตนเองมีความเครียดในระดับสูง ขณะที่ 16% เผยว่า ต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิตประจำวันต่าง ๆ เช่น อายุที่มากขึ้น ความเครียด โรคประจำตัว การรักษาทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง และความรู้สึกเชิงลบ เช่น ความเหงา ส่งผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด นอกจากนี้ 48% ของผู้ตอบแบบสำรวจยอมรับว่าตนเองรู้สึกเหงา เครียด ซึมเศร้า ไม่มีตัวตน หรือมีสุขภาพไม่ดี

“ผลสำรวจพบว่า วัย 50+ หลายคนประเมินความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุต่ำเกินไป และไม่ทราบถึงความเสี่ยงของโรคงูสวัดที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว การสร้างความตระหนักรู้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราสนับสนุนให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคงูสวัด” พญ.บุษกร กล่าวทิ้งท้าย

ข้อมูลอ้างอิง

1.  IPSOS on behalf of GSK. Shingles Awareness Week 2025 Survey (Brazil, China, Germany, India, Ireland, Italy, Japan, Portugal, and USA). Data on file. 2025]

2.  Harpaz, R., et al. Prevention of herpes zoster: recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices (ACIP). MMWR Recomm Rep 2008;57(Rr-5):1-30.

3.  Mueller, N.H., et al. Varicella zoster virus infection: clinical features, molecular pathogenesis of disease, and latency. Neurologic clinics. 2008;26(3):675-97.

4. Johnson, R.W., et al. Herpes zoster epidemiology, management, and disease and economic burden in Europe: a multidisciplinary perspective. Therapeutic advances in vaccines. 2015;3(4):109-20.

5. Kawai, K., et al. Systematic review of incidence and complications of herpes zoster: towards a global perspective. BMJ open. 2014;4(6).

6. Erskine, N., et al. A systematic review and meta-analysis on herpes zoster and the risk of cardiac and cerebrovascular events. PloS one. 2014;12(7).

7.  Shingles in Australia. Australian Institute of Health and Welfare [Available from: https://www.aihw.gov.au/getmedia/759199ff-f5c8-421d-a572-aaa984a02b49/aihw-phe-236_shingles.pdf.aspx  Accessed: February 2025]

8.  Curran, D., et al. Meta-Regression of Herpes Zoster Incidence Worldwide. Infectious diseases and therapy. 2022;11(1):389-403.

9.  Lee, C., et al. Lifetime risk of herpes zoster in the population of Beijing, China. Public health in practice (Oxford, England). 2023;5:100356.