Onlinenewstime.com : ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การถาโถมของเทคโนโลยีดิจิทัล ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในหลายอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ลงลึกถึงระดับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ถูกเรียกว่าเป็นยุคเทคโนโลยีดิสรัปชั่น (Technology Disruption) นี้ เกิดขึ้นทั้งในวงการสื่อ การธนาคาร การค้าปลีก การขนส่งโลจิสติกส์
มาจนถึงช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่เป็นเสมือนขุมพลัง ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ ขยับขยายมาสู่โลกของการศึกษาและการทำงาน ที่ต้องหันมาใช้เทคโนโลยีกันอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ หนึ่งในนั้นคือวงการแพทย์และการสาธารณสุข ตามที่เราได้เห็นข่าวคราวการใช้เทคโนโลยีในด้านนี้มาโดยตลอด นับตั้งแต่โควิด-19 ได้เริ่มระบาดไปทั่วโลก
แม้ว่าระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทย จะได้รับการยกย่องว่ามีมาตรฐานที่ดี แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะจบลงที่ตรงไหน? และสาขาอาชีพต่างๆ ในวงการแพทย์และการสาธารณสุข ต้องเตรียมพร้อมในการสร้างบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในการรับมือ เพื่อให้เดินหน้าต่อไปอย่างไร?
ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ อธิการบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ววจ.) ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ให้คำตอบสำหรับเรื่องนี้ไว้ได้อย่างน่าสนใจ
Data / AI / 5G จุดเปลี่ยนสู่การแพทย์แห่งอนาคต
ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เริ่มต้นด้วยการชี้ชวนให้เห็นถึงเทคโนโลยี ที่ถูกนำมาใช้ในช่วงโควิด-19 “เราจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีการนำ Data Technology และ AI มาใช้ เพื่อประเมิน และคาดการณ์สถานการณ์การระบาดของโรค โดยเฉพาะในต่างประเทศ
ซึ่งหากมาพิจารณาให้ลึกลงไปแล้ว การแพร่ระบาดของโรคในแต่ละประเทศ ก็มีความแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม สังคม และวัฒนธรรมด้วย ดังนั้น ข้อมูลจากประเทศหนึ่ง อาจไม่สามารถนำมาวิเคราะห์กับอีกประเทศหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นประชากรนั่งรถไฟฟ้าหนาแน่น แต่การแพร่ระบาดน้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะคนญี่ปุ่นใส่หน้ากากอนามัยกันเป็นปกติ ไม่พูดคุยกัน ก้มหน้าเล่นมือถือ หรืออ่านหนังสือ
ขณะที่ประเทศจีนมีตลาดสด ร้านภัตตาคาร ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน มีการพูดคุยกัน อยู่กันอย่างแออัด อากาศไม่หมุนเวียน รูปแบบการระบาด จึงแตกต่างกัน
สำหรับในประเทศไทยเอง เรามีอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชน ที่มีบทบาทสำคัญ ที่ช่วยควบคุมการระบาด ซึ่งต่างประเทศไม่มี แต่ที่ผ่านมา ประเทศไทยยังขาดการรวบรวม Data ที่สำคัญเหล่านี้อย่างเป็นระบบ เป็นของประเทศเราเอง คาดว่าจากโควิด-19 หลายฝ่ายในประเทศเรา จะหันมาให้ความสำคัญกับเรื่อง Data ในการแพทย์และสาธารณสุขมากขึ้น”
“เทคโนโลยีอย่าง AI ก็จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในวงการแพทย์มากขึ้น ช่วยในการวิเคราะห์วินิจฉัยโรคให้มีความแม่นยำขึ้น โดยอิงจาก Big Data ที่มีอยู่ การมาถึงของ 5G ก็จะทำให้ Telemedicine เกิดขึ้นเร็วขึ้น ผมเชื่อว่าในอนาคต ผู้ป่วยอาจไม่ต้องมาถึงที่โรงพยาบาล แต่อาจจะมีอุปกรณ์ ที่เขาสามารถตรวจวัดร่างกายหรือเจาะเลือดเองได้ที่บ้าน แล้วส่งข้อมูลมาที่โรงพยาบาล และพูดคุยทางไกลกับหมอ เพื่อรับคำปรึกษา และเดินทางมาที่โรงพยาบาล เท่าที่จำเป็นจริงๆ ซึ่งหากเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นจริง ก็จะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลได้มาก และช่วยให้หมอสามารถทำการรักษาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
“ปัจจุบันนี้ข้อมูลของผู้ป่วย จะถูกเก็บในเวชระเบียนโดยโรงพยาบาล ซึ่งมีการเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบดิจิทัลเกือบสมบูรณ์แล้ว ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่า ข้อมูลเหล่านี้จะเปลี่ยนกลับไปอยู่ในมือของผู้ป่วยแทน และผู้ป่วย จะมีอำนาจในการตัดสินใจ ว่าใครจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของตนเองได้บ้าง ผู้ป่วยจะมีสิทธิรู้ข้อมูลทุกอย่างของตนเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการบอกหรือไม่บอกของหมออีกต่อไป”
Health Data Scientist อาชีพดาวรุ่งดวงใหม่
Data Technology เป็นส่วนผสมสำคัญ ต่อการเปลี่ยนแปลงในวงการแพทย์ที่กำลังก้าวเข้ามา ซึ่งวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ววจ.) ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ก็ได้เล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่างไม่สามารถเลี่ยงได้นี้
จึงจัดตั้ง หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ข้อมูลสุขภาพ หรือ Health Data Science ขึ้น เพื่อเตรียมรับมือกับโลกอนาคต ภายใต้ความร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
“ในต่างประเทศ ใครที่จบวิทยาศาสตร์ข้อมูลสุขภาพ เป็นสาขาที่บรรดาบริษัทยา รีบคว้าตัวไว้เลย เพราะเป็นสาขาที่สำคัญมาก ในการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ แต่สำหรับในไทย ใครที่จบสาขานี้ สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับวงการแพทย์และสาธารณสุขในระดับชาติได้เลย
เพราะการที่เรามี Data เป็นจำนวนมาก เราต้องอาศัยการวิเคราะห์ เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการรักษาผู้ป่วย ดังนั้นคนที่อยู่ในอาชีพ ต้องมีความรู้ที่ผสานกัน ทั้งในด้านการแพทย์และเทคโนโลยี ต้องมีวิธีคิดที่เป็นระบบ แบบนักวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะวิเคราะห์หาคำตอบของปัญหา จากข้อมูลนับล้านๆที่อยู่ตรงหน้าได้
คนในอาชีพนี้ สามารถทำงานได้ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ ทำงานร่วมกับหมอและพยาบาล ไปจนถึงในระดับนโยบาย สามารถช่วยในการวางแผนนโยบายการสาธารณสุขได้ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ”
หมอ-พยาบาล แบบไหนที่อนาคตต้องการ
อีกหนึ่งคำถามที่สำคัญ คือแพทย์และพยาบาล จะต้องปรับตัวอย่างไร ท่ามกลางคลื่นของดิสรัปชั่นนี้ “ก่อนอื่นต้องมองว่าเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามา ไม่ได้มาเพื่อควบคุมการทำงานของหมอและพยาบาล แต่ความก้าวหน้าเหล่านี้ เป็นเครื่องมือที่เขาต้องควบคุมมัน และใช้ให้เกิดประโยชน์
ประการที่สองคือเทคโนโลยีเหล่านี้ ไม่สามารถทดแทนมนุษย์ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้ป่วยก็อยากได้รับการดูแลรักษา หรือได้คำปรึกษาจากมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์ที่สามารถจะเข้าใจความรู้สึกกันและกันได้ ต่างจากหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของความเป็นมนุษย์ที่ละเอียดอ่อนได้เลย”
“เป้าหมายของ ววจ. ในวันนี้ คือการสร้างบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีความเป็นมนุษย์ มี Empathy ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สามารถมองลึกลงไปถึงความรู้สึก เข้าใจความเป็นทุกข์ของผู้ป่วยได้ และตระหนักว่าความรู้ความสามารถที่ใช้ในการรักษานั้น ลึกลงไปคือการช่วยให้คนได้พ้นทุกข์
สองคือต้องพร้อมรับในความเปลี่ยนแปลง รู้จักการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆให้เกิดประโยชน์ สามคือรู้จักคิด วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งนี้เป็นเสมือนอาวุธที่ติดตัวไว้ ไม่ว่าจะมีโรคอุบัติใหม่อีกกี่ครั้ง ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้
รวมทั้งเป็นพื้นฐานของการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้การรักษา และท้ายที่สุด คือต้องรู้จักสร้างความร่วมมือกับบุคลากรในสายงานอื่น ทำงานเป็นทีม เพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน และสร้างพัฒนาการใหม่ๆให้เกิดขึ้น” ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ กล่าวทิ้งท้าย
ด้วยเป้าหมายที่จะยกระดับประเทศไทย ไปสู่การแพทย์แห่งอนาคต ปัจจุบัน ววจ. จึงพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัย เช่น หลักสูตรแพทย์แนวใหม่ที่ใช้ระยะเวลาเรียน 7 ปี และเมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้รับ 2 ปริญญา คือ ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต iBSc จากมหาวิทยาลัยยูซีแอล สหราชอาณาจักร ซึ่งนักศึกษา จะได้บินลัดฟ้าไปเรียนที่สหราชอาณาจักรหนึ่งปีเต็ม เพื่อเรียนรู้การสร้างงานวิจัยแบบเข้มข้น
และหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ข้อมูลสุขภาพ ของคณะแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข ก็เป็นอีกหนึ่งหลักสูตรที่สำคัญ ในการเตรียมพร้อมบุคลากรของประเทศ ให้มีทักษะความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และเข้าใจโลกของการแพทย์ เพื่อรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ และคิดหาคำตอบแบบดิจิทัล
ตลอดจนถึงหลักสูตรในคณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพและคณะพยาบาลศาสตร์ ที่พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี หรือสังคมผู้สูงวัยที่กำลังใกล้มาถึง หรือแม้แต่หลักสูตรในคณะสัตวแพทยศาสตร์ และสัตววิทยาประยุกต์ ก็ยังเป็นหลักสูตรที่มีแนวคิด One Health ที่มีมุมมองว่าคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น