Onlinenewstime.com : ‘บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น’ หรือ KCG ผู้นำธุรกิจเนย-ชีส วัตถุดิบเบเกอรี่และอาหารตะวันตก ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 170 ล้านหุ้น
ชูจุดเด่นเป็นผู้นำสร้างสรรค์ความรื่นรมย์ให้กับรสชาติผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพ สอดรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ภายใต้แบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่ง มีฐานการผลิตและระบบโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการคัดสรรแบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลก โดยมีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจกว่า 64 ปี พร้อมแต่งตั้ง บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “KCG”) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเนย-ชีส ภายใต้แบรนด์ อิมพีเรียล (Imperial) และอลาวรี่ (Allowrie) ผลิตและจัดจำหน่ายบิสกิต และเป็นผู้นำเข้าวัตถุดิบเบเกอรี่และอาหารตะวันตกแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหารมายาวนานกว่า 64 ปี
ภายใต้วิสัยทัศน์ “บริษัทชั้นนำ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารรสเลิศ รวมทั้งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มุ่งมั่น เพื่อการดำเนินชีวิตที่ทันสมัย” โดยมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับรสชาติอาหารที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งการจัดหาวัตถุดิบและคัดสรรแบรนด์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก
สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเป็นผู้นำเข้าสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเนยแข็งระดับโลก และเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพรายใหญ่ในประเทศไทย
บริษัทฯ มีจุดแข็ง ด้านผลิตภัณฑ์และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีความรู้และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม อีกทั้งมีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าที่สร้างสรรค์ความรื่นรมย์ให้กับรสชาติอาหารที่มีคุณภาพสอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงทุกช่วงเวลา
ภายใต้โรงงานซึ่งเป็นฐานการผลิตอันแข็งแกร่งและการให้บริการอย่างครบวงจร (One-stop Service) ประกอบกับมีระบบโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (cold chain) ที่มีประสิทธิภาพ
สามารถกระจายสินค้าครอบคลุมทุกช่องทางทั่วประเทศ ทั้งช่องทางการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคปลายทาง (Business to Customer หรือ B2C) ผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าทั่วไป แพลตฟอร์มออนไลน์ และช่องทางการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (Business to Business หรือ B2B) ให้กับผู้ผลิตอาหาร ผู้ประกอบการโรงแรมและภัตตาคาร
รวมถึงการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก จึงสร้างความได้เปรียบการแข่งขัน หากอ้างอิงตามข้อมูลของ Euromonitor บริษัทฯ เป็นผู้นำสำหรับผลิตภัณฑ์เนยและชีส โดยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ใน 5 อันดับแรก ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์บิสกิต ในปี 2564
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีพันธมิตรทางธุรกิจและเครือข่ายกับผู้จัดหาวัตถุดิบทั่วโลก ซึ่งบริษัทฯ นำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ปัจจุบัน KCG มีผลิตภัณฑ์หลักเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เนย เนยแข็ง (Cheese) และผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากนม เช่น นมพร้อมดื่ม วิปครีม ครีมชีส และนมเปรี้ยว (Yoghurt) ภายใต้แบรนด์หลัก ได้แก่ Imperial Allowrie และ Dairygold
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ (Food and Bakery Ingredients) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์อาหาร ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ส่วนผสมของอาหาร (Food Ingredients) เช่น น้ำมันมะกอก ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารทะเล (Meat and Seafood) เป็นต้น 2) ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี่ ภายใต้แบรนด์หลัก Imperial อาทิ แป้งเค้ก และแป้งมิกซ์ 3) ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้เข้มข้น ภายใต้แบรนด์ SUNQUICK ที่มีหลากหลายรสชาติ อาทิ ส้ม ส้มแมนดาริน และผลไม้รวม ฯลฯ และ 4) อุปกรณ์ทำเบเกอรี่และประกอบอาหาร โดยบริษัทฯ เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าวจากต่างประเทศ และ
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์เวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์หลัก ได้แก่ Imperial Rosy และ Violet
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น หรือ KCGได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2565
โดยปัจจุบัน บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่นมีทุนจดทะเบียน 560 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 560 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.0 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 390 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 170 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 30.4 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการระดมทุน เพิ่มศักยภาพศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าตลอดจนการขยายกำลังการผลิต และส่วนที่เหลือจะนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน