fbpx
News update

วิจัยกรุงศรี เผยบทวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและการเงิน (ฉบับวันที่ 25 มีนาคม 2568)

Onlinenewstime.com : เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซนมีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น ขณะที่จีนมุ่งกระตุ้นภาคการบริโภคที่ยังอ่อนแอ

เฟดคงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% ท่ามกลางความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% แต่ประกาศลดการดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ (QT) จากเดิมดูดซับเดือนละ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เหลือ 5 พันล้านดอลลาร์ฯ

ขณะที่ Dot Plot ยังคงชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับลดอีก 2 ครั้ง ในปี 2568 นอกจากนี้ เฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 และ 2569 ลงสู่ระดับ 1.7% (เดิมคาด 2.1%) และ 1.8% (เดิมคาด 2.0%) ตามลำดับ ส่วนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ในปี 2568 ถูกปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.8% (เดิมคาด 2.5%)

เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงมากขึ้น สะท้อนจาก (i) ดัชนี PMI ภาคบริการที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 15 เดือน (ii) อัตราการผิดนัดชำระหนี้ภาคเอกชนที่เพิ่มสูงขึ้น (iii) ตัวเลขการจ้างงานและค่าจ้างที่ชะลอตัว และ (iv) การบริโภคที่อ่อนแอ

นอกจากนี้ การที่เฟดมองว่าความเสี่ยงจากนโยบายภาษีต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวคาดว่าจะเป็นการเปิดทางไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในระยะถัดไป โดยวิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปีอีก 0.75% สู่ระดับ 3.50-3.75% ณ สิ้นปี

ภาพเศรษฐกิจยูโรโซนยังอ่อนแอ ท่ามกลางความเสี่ยงขาลงที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้า ในเดือนมีนาคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ชะลอตัวมากสุดในรอบ 6 เดือนที่ 2.3% YoY ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ชะลอตัวมากสุดในรอบเกือบ 3 ปีที่ 2.6% ขณะเดียวกันประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) คริสติน ลาการ์ด ระบุว่าความขัดแย้งทางการค้าที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรโซนชะลอตัวลง 0.3-0.5% และผลักดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้น

ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสงครามการค้ายังคงเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปีนี้นอกเหนือจากภาคบริการที่โตช้าลง รวมถึงการบริโภคและการลงทุนที่ชะลอตัว

ขณะเดียวกันการอนุมัติแผนการผ่อนปรนมาตรการจำกัดหนี้ (debt brake) ครั้งใหญ่ของสภาเยอรมนีในการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมและกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการจัดตั้งกองทุนมูลค่า 5 แสนล้านยูโร คาดว่าจะเริ่มส่งผลบวกอย่างชัดเจนต่อเยอรมนีในปีหน้า

ส่วนผลบวกต่อยูโรโซนยังค่อนข้างจำกัดและยังต้องอาศัยเวลาอีกนาน จากเหตุผลดังกล่าววิจัยกรุงศรีคาดว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 2.00% ในปีนี้ แม้อาจไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยในทุกครั้งการประชุมท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2%

จีนเตรียมประกาศแผนกระตุ้นการบริโภคเพิ่ม ท่ามกลางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยอดค้าปลีกสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ขยายตัวสูงขึ้นจาก 3.7% YoY ในเดือนธันวาคมเป็น 4% แต่ยังต่ำกว่าการเติบโตช่วงก่อนโควิด (ปี 2560-2562) ซึ่งอยู่ที่ราว 7-11% ค่อนข้างมาก

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวสูงขึ้นจาก 87.5 ในเดือนมกราคมเป็น 88.4 ขณะที่ธนาคารบางแห่งในเซี่ยงไฮ้และหางโจว ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลเหลือต่ำสุดที่ 2.58% จากราว 10% เมื่อสองปีก่อน

ภาคการบริโภคของจีนยังอ่อนแอ ขณะที่ภาคการส่งออกในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มชะลอลงจากสงครามการค้า ดังนั้น การหันมาให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคเป็นหลักในปีนี้ของรัฐบาล จึงเป็นความหวังสำคัญในการประคองการเติบโตทางเศรษฐกิจให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ราว 5%

โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน การอุดหนุนการแลกซื้อสินค้าใหม่ การสร้างเสถียรภาพในตลาดทุนและอสังหาริมทรัพย์ และการผลักดันภาคธนาคารให้ขยายการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวในภาคการบริโภคอาจไม่ได้เกิดขึ้นเร็วอย่างที่คาดหวัง หากพิจารณาความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันซึ่งต่ำกว่าก่อนโควิดถึงราว 30%

มูลค่าส่งออกในช่วงต้นปีอาจเติบโตสูงจากปัจจัยชั่วคราว ขณะที่ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เพื่อประคองภาคอสังหาริมทรัพย์

การฟื้นตัวของภาคส่งออกยังมีปัจจัยท้าทาย แม้มูลค่าส่งออกเดือนกุมภาพันธ์เติบโตสูงในอัตราเลขสองหลักติดต่อ กันเป็นเดือนที่ 2 กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 26.7 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ที่ 14.0% YoY (สูงกว่าตลาดคาดที่ 9.7%) หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าส่งออกขยายตัว 14.6%

โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (+51.3%) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+32.8%) แผงวงจรไฟฟ้า (+24.8%)  และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน (+4.5%)

ขณะที่การส่งออกในบางกลุ่มหดตัว อาทิ ข้าว (-34.3%) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (-13.2%) และผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง (-3.7%) ด้านตลาดส่งออกพบว่าขยายตัวในตลาดสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ  จีน และสหภาพยุโรป ขณะที่การส่งออกไปญี่ปุ่น อาเซียน5 และ CLMV กลับมาหดตัว สำหรับในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกขยายตัว 13.8%

การส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์เติบโตต่อเนื่องจากเดือนมกราคม (+13.6% YoY) สอดคล้องกับความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น และมีปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ 

การส่งออกของไทยในระยะข้างหน้าจึงยังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยดังกล่าว โดยวิจัยกรุงศรีได้ประเมินผลกระทบจากปัจจุบันกรณีสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 20% และจีนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าบางรายการจากสหรัฐฯ ในอัตรา 10-15% อาจทำให้การส่งออกและ GDP ของไทย เพิ่มขึ้นจากกรณีฐาน +0.43%  และ +0.03% ตามลำดับ

แต่ผลบวกกระจุกตัวในบางกลุ่มสินค้าเท่านั้น และที่สำคัญผลลบกระจายไปยังหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ หากสหรัฐฯปรับขึ้นภาษีนำเข้า 25% กับประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯรวมทั้งไทย ผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจไทยจะพลิกจากบวกเป็นลบ โดยการส่งออกและ GDP ของไทยจะลดลงจากกรณีฐาน -1.6% ถึง -1.7% และ -0.06% ถึง -0.36% ตามลำดับ

ธปท.ชี้เศรษฐกิจแต่ละภาคส่วนฟื้นตัวแตกต่างกันมากขึ้น ล่าสุดผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราวเพื่อช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์ จากรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือนกุมภาพันธ์ ชี้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนเพียงเล็กน้อย (ปี 2567 โต 2.5%) และต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.9%

นอกจากนี้ ประเมินว่าเศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนขยายตัวแตกต่างกันมากขึ้น (K-shape) ภาคบริการมีแนวโน้มขยายตัวดีโดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ส่วนภาคการผลิตกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับยานยนต์ และภาคอสังหาฯมีพัฒนาการที่แย่ลง

มุมมองกนง.ต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่ำกว่าคาดและมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วนมากขึ้น นับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้กนง.ผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

และล่าสุดธปท.ได้ประกาศผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-value: LTV)

โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็นร้อยละ 100 สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งกรณี (i) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และ (ii) มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป

สำหรับการผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราวสำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 – 30 มิถุนายน 2569 ทั้งนี้ เพื่อประคับประคองภาคอสังหาฯที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากกำลังซื้อในประเทศลดลง และช่วยบรเทาปัญหาอุปทานคงค้างที่อยู่ในระดับสูงได้บ้าง อีกทั้งยังเป็น targeted policy เพื่อลดความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายการเงินแบบวงกว้างเพิ่มเติม