Onlinenewstime.com : กรมการแพทย์ โดยสถาบันประสาทวิทยา เผยปวดหัวไมเกรนคู่ปรับของคนวัยทำงาน เป็นอาการที่เกิดจากระบบประสาทส่วนกลางทำงานผิดปกติ สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้ โดยหลีกเลี่ยงสิ่งเร้า ที่ก่อให้เกิดอาการปวด
นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะที่พบได้ ในเด็กวัยเรียน วัยหนุ่มสาว แต่ผู้สูงอายุมักไม่เป็นโรคนี้ โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันและความกดดันอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ต้องเผชิญกับความเครียดสะสม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
จะพบผู้ป่วยอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25-30 ปี มากที่สุด มักพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยลักษณะของไมเกรนแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ไมเกรนชนิดมีอาการนำและชนิดไม่มีอาการนำ
ไมเกรนไม่มีอาการนำจะปวดศีรษะครึ่งซีกเป็นพัก ๆ เวลาหายปวดจะหายสนิท ซึ่งการปวดแต่ละครั้งจะนาน 4 ชั่วโมงหรือนานเป็นวัน ๆ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการ เช่น คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อแตก ส่วนไมเกรนชนิดมีอาการนำจะพบได้น้อยกว่า มักมีอาการนำมาก่อนแล้วจึงมีอาการปวดศีรษะตามมา
อาการนำที่พบได้บ่อย เช่น ตาฝ้า เห็นแสงระยิบระยับ บางคนอาจเห็นเป็นภาพมืดตรงกลางทำให้มองไม่เห็นชั่วครู่ อาจมีอาการแขนขาชาอ่อนแรง หรือพูดไม่ได้ชั่วครู่ ไมเกรนเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของใครหลายคน และเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน การมีความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องจะช่วยให้ห่างไกลจากโรคไมเกรนได้
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุของโรคปวดศีรษะไมเกรนมีสาเหตุที่เกิดจากภายในร่างกายและจากพันธุกรรม ซึ่งไม่สามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ ส่วนสาเหตุที่มาจากภายนอกร่างกายเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดอาการ เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ อากาศเปลี่ยนแปลง ทำงานหนักหรือมีความเครียดมากเกินไป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารบางชนิด ได้แก่ กล้วยหอม ช็อคโกแลต เนยแข็ง
สำหรับการรักษาแพทย์ จะให้ยาแก้ปวดเวลามีอาการปวดและการใช้ยาป้องกันไมเกรนในรายที่เป็นบ่อย ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารับประทานเองควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง โดยแพทย์จะพิจารณาให้ยาเมื่อมีอาการปวดศีรษะแบบรุนแรง ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาป้องกันไมเกรนสม่ำเสมอทุกวันอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้ได้ผลในการป้องกัน
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีทรมานจากอาการปวดน้อยลง และดำเนินชีวิตประจำวันต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การปวดเรื้อรัง ควรฝึกการคลายเครียดจากการทำงานหรือเรียน นอนพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมง ทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอ