Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

“Plagiarism” ทางแพร่งของจริยธรรม “ก๊อปปี้งาน” กับการสร้างคอนเทนท์

Credit - Pixabay

onlinenewstime.com : ปัจจุบันที่ชีวิตประจำวันของทุกคน รายล้อมไปด้วยดิจิทัล ทุกย่างก้าว เต็มไปด้วยความรวดเร็ว เร่งรีบ และการแข่งขัน การสร้างเนื้อหา ข่าวสาร หรือบทความบนสื่อออนไลน์ เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย เริ่มง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ คงจะมีคนเขียนคอนเทนท์หลายๆคน ที่ต้องเผชิญปัญหา ยิ่งกว่าศิลปินในอดีตที่ต้องขมขื่นกับแผ่นก๊อป แผ่นเถื่อน

จากผลงานคอนเทนต์ดีๆ ที่ใช้เวลานับชั่วโมง หรือหลายวันตั้งแต่การคิด ค้นคว้า หาข้อมูล สร้างสรรค์ ภาพที่บรรจงถ่าย ตกแต่งสวยงาม คลิปที่ตัดต่ออย่างดี ต้องมาพ่ายแพ้กับเทคนิค Copy & Paste ที่คนลอกเลียนเนื้อหา สามารถเลือกมาแปะได้ภายในเวลา 2-3 นาที

แม้เรื่องก๊อปปี้ เหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่ถูกมองข้าม และหยวนๆกันมา จนเป็นความประนีประนอมแบบผิดๆ แต่ในความเป็นจริงนั้น การคัดลอก ก๊อปปี้ เลียนแบบ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และมีความผิดทางกฎหมาย ซึ่งไม่สามารถมองข้ามกันแบบขำๆอย่างที่คิด

ดังคดีตัวอย่างที่ บริษัท อินโฟเควสท์ จำกัด ยื่นฟ้องบริษัท บิสนิวส์ เอเอฟอี (ประเทศไทย) จำกัด เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยนำงานข่าว ไปทำซ้ำและเผยแพร่ต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ได้มีคำพิพากษาออกมา เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2562 ว่า วินิจฉัยให้งานสร้างสรรค์ประเภทบทความ รายงานพิเศษ และบทสัมภาษณ์ของอินโฟเควสท์ เป็นงานอันมีลิขลิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และตัดสินให้อินโฟเควสท์ ได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากการถูกละเมิด โดยการทำซ้ำงานและเผยแพร่ต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นคดีแรกเกี่ยวกับการละเมิดงานข่าว ที่ขึ้นไปถึงชั้นศาลฎีกา เป็นกรณีตัวอย่าง ที่ยกระดับความสำคัญเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ในวงการสื่อสารมวลชนไทย ตามที่ระบุในเวบไซต์ www.ryt9.com

ลองมาดูรายละเอียดที่น่าสนใจกันสักหน่อย แล้วตั้งสติคิดอีกครั้ง ว่าจะอาศัยพฤติกรรมการคัดลอกต่อไปดีหรือไม่

อ้างอิงข้อมูล จากเอกสารวิชาการ เรื่อง จริยธรรมกับการคัดลอก (Plagiarism) ของ รศ.ดร.ภญ. รัตติมา จีนาพงษา กล่าวถึง “Plagiarism” ซึ่งก็คือ การคัดลอกผลงาน แอบอ้างความคิดเห็นของผู้อื่น มาเป็นของตน หรือการลอกเลียนวรรณกรรมนั้น

ถือเป็น “การนําแนวคิด งานหรือผลงานของผู้อื่นไปใช้ เสมือนว่าเป็นของตนโดยไม่มีการอ้างอิงถึงแหล่งที่มา หรือให้เกียรติเจ้าของเดิม หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้ชัดแจ้ง ทําให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นของตน”

สำหรับเหตุผลที่คัดลอก อาจจะมาจากสาเหตุ เช่น ไม่รู้วาจะเขียนอะไร ไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร ทำไม่ทันใกล้ครบกำหนดส่ง กลัวผลงานออกมาไม่ดี ต้องการผลงานจำนวนมาก และอีกนานับประการ ซึ่งการกระทำที่จัดเป็น Plagiarism นั้นสามารถจำแนกได้ชัดเจนตามขอบข่ายดังนี้

ผลที่จะได้รับจากการคัดลอกผลงาน

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา

ดังนั้นหลักการที่พึงระลึกไว้ เมื่อจำเป็นต้องนำผลงานของผู้อื่นมานำเสนอก็คือ อ้างอิงแหล่ที่มาของข้อมูลเสมอ (ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงคําพูดแลวก็ตาม)

ซึ่งการอ้างอิงที่มา (Citation) นั้น มีข้อดีหลายประการคือ

อย่างไรก็ตาม อาจมีความสงสัยว่า ในสถานการณ์แบบไหน ที่ต้องมีการอ้างอิง รศ.ดร.ภญ. รัตติมา จีนาพงษา ขยายความไว้ว่า

เมื่อไรบ้างที่ต้องอ้างอิง

เมื่อไรบ้างที่เราไม่ต้องอ้างอิง

การอ้างอิง

จะเห็นได้ว่า สิ่งที่คิดว่าง่าย และเป็นเรื่องเล็ก อาจไม่เป็นอย่างที่คิด ผลกระทบจากการกดก๊อปปี้ เพียงไม่กี่นาที อาจขยายวงมาก เกินกว่าการควบคุม

“ที่สุดแล้ว สำหรับคนทำงานในแวดวงสร้างสรรค์  ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน หรือศิลปิน ต่างมีจุดกำเนิด มาจากความสามารถเฉพาะตัว พรสวรรค์ ซึ่งเป็นความสุขในการสร้างผลงาน และเป็นความภาคภูมิใจในวิชาชีพ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทางลัดในการคัดลอกใคร ให้เสียศักดิ์ศรีของ “ตัวจริง” แม้สักครั้งไม่ใช่หรือ?”

ข้อมูลประกอบจาก จริยธรรมกับการคัดลอก (Plagiarism) ของ รศ.ดร.ภญ. รัตติมา จีนาพงษา สํานักหอสมุด และคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร  

Exit mobile version